ช่วงฮันนีมูนของเชลซีต้องสะดุดไปเล็กน้อย หลังจากที่ไบรท์ตันเก็บชัยชนะในลีกเหนือเชลซีได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ในช่วง 14 เกมก่อนหน้านี้ ทัพนกนางนวลแพ้ให้กับเชลซีถึง 10 ครั้งและเสมออีก 4 ครั้ง
ชัยชนะของไบรท์ตันด้วยสกอร์ 4-1 นั้นยังเป็นความพ่ายแพ้เกมแรกของเกรแฮม พ็อตเตอร์ในฐานะผู้จัดการทีมเชลซีอีกด้วย ในเกมที่เขากลับมายังเอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ถิ่นเก่าของเขา ในขณะที่ลูกทีมของโรแบร์โต้ เด แซร์บี้ก็บีบให้เชลซีเล่นยากจนมีข้อผิดพลาดมากมาย พร้อมกับชิงขึ้นนำห่างไปก่อนในช่วงพักครึ่งถึง 3-0
สถิติไร้พ่าย 9 เกมของทีมจากเมืองหลวงภายใต้กุนซือใหม่นั้นต้องจบลง แต่ทำไมแฟนบอลเชลซียังควรที่จะมองโลกในแง่ดีได้ถึงแม้ว่าทีมสิงโตน้ำเงินครามจะมีฟอร์มการเล่นและผลการแข่งขันที่น่าเป็นห่วงแบบนี้?
ใคร ๆ ก็มีวันฟอร์มหลุดกันทั้งนั้น
ทุก ๆ สิ่งที่อาจผิดพลาดไปสำหรับเชลซีในช่วงเวลาที่ตึงเครียดของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเกมดำเนินไปเพียงแค่ 5 นาทีก็เป็นไบรท์ตันที่เป็นฝ่ายออกนำไปก่อนจากการออกสตาร์ทเกมสุดดุดันของพวกเขา ซึ่งพลาดโอกาสขึ้นนำก่อนหน้านี้ 2 ครั้งจากการสกัดบอลออกจากเส้นปากประตูจากติอาโก้ ซิลวา
เห็นได้ชัดว่าทีมนกนางนวลกำลังสร้างบรรยากาศที่อึกทึกทั้งในและนอกสนามและเชลซีก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้เกมของพวกเขานั้นทัดเทียมกับความเข้มข้นของเจ้าบ้าน
สองประตูที่เชลซีทำเข้าประตูตัวเองก่อนจบครึ่งแรกนั้นส่งผลต่อรูปเกมที่แย่อยู่แล้วของเชลซีเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเกมเป็นไบรท์ตันที่คอยฉวยโอกาสโจมตีบริเวณพื้นที่ด้านหลังวิงแบ็คของเชลซี จนทำให้กองหลังทั้งสามอย่างเทรโวห์ ชาโลบาห์, ติอาโก้ ซิลวาและมาร์ค คูคูเรญ่าถึงกับปั่นป่วน ยิ่งไปกว่านั้น การไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับในแดนกลางทั้งสามคนของพ็อตเตอร์นั้นยังทำให้ไบรท์ตันใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องตรงนั้นได้ต่อไป เนื่องจากทีมเยือนนั้นไม่สามารถคุมเกมได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีบอลหรือไม่มีบอล
พ็อตเตอร์ก็ได้ทำสิ่งที่เขาทำดีมาตลอดระยะเวลาที่เขาคุมทีม นั่นก็คือการแก้เกม พ็อตเตอร์ปรับรูปแบบการเล่นในครึ่งหลัง มาเป็นแผนการเล่นแบบ 4-3-3 เพื่อแก้ปัญหาที่ตรงที่พวกเขากำลังแย่ ซึ่งจะบอกว่าได้ผลก็คงไม่ผิด เพราะพวกเขาตีคืนกลับมาได้ 1 ประตูทันทีในช่วงต้นของครึ่งหลัง จากลูกยิงของไค ฮาเวิร์ตซ์
แต่อย่างไรก็ตาม ไบรท์ตันมาได้ประตูที่ 4 ตอกฝาโลงในช่วงท้ายครึ่งหลัง ถึงแม้ว่าครึ่งหลัง เชลซีจะเล่นได้ดีกว่าและเป็นฝ่ายโหมบุกเข้าใส่ก็ตาม
การหาจุดสมดุลและความแข็งแกร่งของทีม
โดยรวมแล้ว เกรแฮม พ็อตเตอร์ได้พัฒนาเกมรุกของเชลซีขึ้นเล็กน้อย แต่กุนซือวัย 47 ปีรายนี้ค่อนข้างโชคร้ายในตำแหน่งแนวรับ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเหล่านักเตะในตำแหน่งแนวรับทำให้เขาไม่มีโอกาสสร้างโครงสร้างของแผงหลังที่สม่ำเสมอขึ้นมาได้
เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, รีซ เจมส์, คาลิดู คูลิบาลี่และแม้แต่เอ็นโกโล่ ก็องเต้ต่างก็ใช้เวลาในการพักรักษาตัวนานเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ที่เชลซีแต่งตั้งกุนซือชาวอังกฤษเข้ามาคุมทีมและการไม่มีนักเตะแนวรับคนสำคัญหลายคนนั้นก็ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งและความมั่นคงของเชลซีในการเลือกตัวนักเตะลงสนาม
อันที่จริงแล้ว ทีมจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ก็ทนกับการไม่มีสมดุลในทีมกันมาตั้งแต่ที่พวกเขาไล่โธมัส ทูเคิ่ลออกแล้ว และพ็อตเตอร์ก็ต้องรับภาระในการบริหารจัดการนักเตะกับเกมการแข่งขันที่หนักหน่วงและรวดเร็วในช่วงเวลาน้อยกว่าสองเดือนในการคุมทีม
ทว่ามันเป็นเรื่องที่ถือว่าคิดน้อยไปนิดที่จะใส่นักเตะแนวรับเพียงสามคนในเกมพรีเมียร์ลีกสุดเข้มข้นกับทีมเก่าของพ็อตเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เร้ดบูล ซัลส์บวร์กได้ใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่เปิดกว้างนั้นในการสวนกลับในระหว่างเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
อดีตบอสของสวอนซียอมรับบทบาทของเขาในความพ่ายแพ้หลังจากจบเกมนั้น
“เมื่อคุณแพ้ คุณจะต้องมองหาดูข้อผิดพลาดและถ้าคุณทำผิดพลาด คุณจะต้องวิเคราะห์มัน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงานของเรา เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการและหากเราทำผิดพลาด ฉันจะต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้นและเราจะต้องทำให้ดีขึ้น”
“ผมต้องขอแสดงความยินดีกับไบรท์ตันเช่นกัน พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี เรามีโอกาสอยู่บ้าง ผลการแข่งขันทำให้รู้สึกว่าอาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่เล็กน้อยในแง่ของการที่เรายังพอมีโอกาส เราสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษใกล้เคียงกับพวกเขา พวกเขาได้สองประตูจากการที่เราทำเข้าประตูตัวเอง เรามีโอกาส 2-3 ครั้ง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราอาจจะเปิดพื้นที่กว้างไปนิดและนั่นเป็นความรับผิดชอบของผมเอง”
ความแข็งแกร่งและความฟิตของร่างกาย
เชลซีอยู่ในช่วงที่เกมการแข่งขันกำลังถาโถมเข้าใส่พวกเขา โดยเฉพาะช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ฟุตบอลโลกปี 2022 และโปรแกรมสุดถี่ยิบเหล่านั้นเริ่มที่จะส่งสัญญาณเตือนให้กับทีมแล้ว จากฟอร์มที่ดร็อปลงเนื่องจากเวลาในการฟิตซ้อมที่ไม่เพียงพอและการต้องลงเล่นเกมเยือนแบบต่อเนื่องกันหลายนัดในช่วงที่ผ่านมา
ความพ่ายแพ้ที่เอเม็กซ์ สเตเดี้ยมถือเป็นเกมนัดที่ 9 ของพวกเขารวมทุกรายการในเดือนตุลาคมและเป็นเกมที่ 6 ของพวกเขาที่ลงเล่นในฐานะทีมเยือน
ในขณะที่เชลซีอาจไม่ได้มีการออกสตาร์ทที่ดีที่สุด แต่ความเข้มข้นและความเร็วของเกมตลอดทั้งเกมนั้นทำให้ไบรท์ตันนั้นได้เปรียบทีมที่ 9 ใน 11 คนที่ออกสตาร์ทในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกในออสเตรียก่อนหน้านั้นเพียง 3 วันเท่านั้น ด้วยสภาพร่างกายที่ฟิตและสดใหม่กว่า
ตอนแรกเราก็ประหลาดใจอยู่บ้างที่เชลซีไม่สามารถที่จะคัมแบ็คกลับมาได้ แต่ทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อความเหนื่อยล้าของนักเตะเริ่มปรากฏให้เห็น
พ็อตเตอร์ยินดีที่จะทำการโรเตชั่นตัวนักเตะสำหรับเกมการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลยุโรปนัดสุดท้ายกับดินาโม ซาเกร็บหลังจากที่พวกเขาลอยลำผ่านเข้ารอบน็อคเอ๊าต์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในฐานะแชมป์กลุ่ม
และเกมที่พวกเขาเข้ารอบแน่นอนแล้วนั้นอาจเป็นเกมที่ทำให้เขาได้มีโอกาสทดลองแผนใหม่ ๆ พักนักเตะตัวหลักของทีม และที่สำคัญที่สุดคือการให้โอกาสกับนักเตะสำรองที่สมควรได้รับโอกาสลงเล่นบ้าง
การพักตัวนักเตะตัวหลักบางคนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเกมกับซาเกร็บ พวกเขาจะมีโปรแกรมลงเตะกับอาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้และนิวคาสเซิล สามเกมใหญ่ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ก่อนที่ฟุตบอลโลกที่กาตาร์จะเริ่มต้นขึ้น
จากสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญตลอดหลายเกมในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มันคงยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตื่นตระหนกกับเชลซีของเกรแฮม พ็อตเตอร์ ความพ่ายแพ้นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคุณกำลังสร้างทีมที่สามารถเก็บชัยชนะได้อย่างมั่นคงอย่างที่เชลซีกำลังพยายามที่จะทำอยู่ในตอนนี้