อาร์เจนติน่าผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลกได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการเอาชนะออสเตรเลียไปได้ 2-1 ที่สนามอาห์เหม็ด บิน อาลี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ทีมจิงโจ้ก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่าย ๆ และมีลูกฮึดกลับมาในช่วงท้ายเกมจนเกือบจะตีเสมอได้เหมือนกัน จากลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแต่ก็ถูกเอมิ มาร์ติเนซ เซฟไว้ได้ และอาร์เจนติน่าก็ยันอยู่ได้จนจบเกม ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ

ทีมฟ้าขาวจะต้องกับเนเธอร์แลนด์ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป หลังจากทีมอัศวินสีส้มดับฝันเอาชนะทีมมะกันมาได้เมื่อวันก่อน

ทีมฟ้าขาวจะไปถึงแชมป์ได้เลยมั้ย? ได้สิ แน่นอน

มันจะเป็นงานหนักแน่นอนในการเจอกับทีมกังหันลมที่ยังแพ้ใครไม่เป็นในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ทัพฟ้าขาวก็น่าจะผ่านเนเธอร์แลนด์เข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปได้ และเข้าใกล้ความฝันสูงสุดอย่างแชมป์โลกสมัยที่สามเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

ครั้งสุดท้ายที่ทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกได้ก็ต้องย้อนไปถึงปี 1986 เลยทีเดียว จากผลงานของดิเอโก้ มาราโดน่า ผู้ยิ่งใหญ่ มาราโดน่าลงเล่นเป็นตัวจริงทุกเกมในฟุตบอลโลกครั้งนั้น และทำคนเดียวห้าประตูกับอีกห้าแอสซิสต์ ช่วยให้ทีมฟ้าขาวคว้าถ้วยจูลส์ ริเมต์ มานอนกอดได้สำเร็จ และในวันนี้ 36 ปีให้หลัง อาร์เจนติน่ามีขุมกำลังระดับประวัติการณ์ และน่าจะหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ยุคทองของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ ด้วยการคว้าแชมป์โลกให้ได้อีกสักครั้ง

เมสซี่กับการปล่อยของทิ้งทวนฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขา

ลิโอเนล เมสซี่ถือเป็นตัวแปรสำคัญของอาร์เจนติน่ามาตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แต่นี่จะเป็นครั้งแรกของเขาในฟุตบอลโลก ที่มีเพื่อนร่วมทีมที่ทั้งฝีเท้าดีและเข้ากับการเล่นของเขาเหลือเกิน ในปีนี้เขาดูพึ่งพาและเล่นกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นเทียบกับปีก่อน ๆ ส่วนสถิติของเขาในสี่นัดที่ผ่านมาในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เขาไม่ยิงก็จ่ายในทุกเกม พลาดไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น

ประตูที่เมสซี่ยิงใส่ออสเตรเลียได้นั้นคือประตูที่ 789 ของเขาในการลงสนามเกมที่ 1000 ของการค้าแข้ง และถือเป็นประตูที่ 9 ในฟุตบอลโลกของเขา แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่หยุดอยู่แค่เก้าลูกแน่

ดาวเตะดีกรีรางวัลบัลลงดอร์เจ็ดสมัยนั้นเคยเข้ารอบลึกกว่านี้มาแล้วมาก เช่นในปี 2014 ที่เขาอกหักพ่ายให้กับทีมอินทรีเหล็กไปในรอบชิงชนะเลิศ จากประตูชัยในช่วงต่อเวลาของมาริโอ เกิตเซ่  

ในวัย 35 ปี นี่จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว เมสซี่จะมุ่งมั่นกว่าทุกครั้งแน่นอน เพื่อคว้าถ้วยอันทรงเกียรติเพียงถ้วยเดียวที่เขาไม่เคยได้มาก่อนในชีวิตนักฟุตบอล แม้จะลงเล่นในถ้วยดังกล่าวมาครั้งนี้ก็ครั้งที่ห้าแล้ว

การพ่ายแพ้ต่อซาอุดิอาระเบียไปแบบช็อคโลกในเกมเปิดสนามนั้นทำให้ทั้งโลกเริ่มหวั่น ๆ กับชะตาของอาร์เจนติน่าอยู่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขารักษาสถิติไม่แพ้ใครมาได้ร่วมสามปี แต่ก็ต้องหยุดสถิติไว้ที่ 35 เกม

ข่าวที่ว่าทัพฟ้าขาวนั้นใจเสียไปเลยนั้นก็เล็ดลอดออกมาสู่สาธารณะเช่นกัน และบางสื่อก็รายงานว่าผู้เล่นรู้สึกหมดอาลัยตายอยากไปเสียแล้ว มันทำให้เห็นเลยว่าเกมกับเม็กซิโกนั้นจะเป็นเกมที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าเกมไหน ๆ อย่างแน่นอน

แต่พวกเขาก็ทำได้ในการลงเล่นนัดนั้น เอาชนะทีมจังโก้ไปได้ด้วยสกอร์ 2-0 ด้วยการมีเมสซี่เป็นศูนย์กลางในการบัญชาการทุกอย่างของทีม หลังจากนั้นก็เก็บชัยชนะเหนือโปแลนด์ไปแบบสบาย ๆ ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เป็นสัญญาณว่า “อาร์เจนติน่า” ตัวจริงกลับมาแล้ว

จริง ๆ มันก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้เราคิดว่าอาร์เจนติน่าจะคว้าแชมป์โลกได้ นอกจากเหตุผลที่รู้กันดีอย่างการมีเมสซี่แล้ว หนึ่งในนั้นก็คือการที่พวกเขามีเกมรับที่เหนียวแน่นมาก

สถิติชี้ว่าอาร์เจนติน่ามีหนึ่งในเกมรับที่ดีที่สุด

ในรอบแบ่งกลุ่ม อาร์เจนติน่าเสียไปเพียงแค่สองประตูเท่านั้น แทบจะน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์แล้ว ถึงมันจะไม่ใช่อะไรที่ดูน่าทึ่งขนาดนั้น แต่จากข้อมูลและสถิติจาก Opta และ FBRef อาร์เจนติน่ามีค่าคาดหวังในการเสียประตู (xGA) ที่น้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 32 ทีมแล้ว จากสถิติแล้ว อาร์เจนติน่ามีค่าคาดหวังที่จะเสียประตูสามนัดรวมกันแค่ 0.7 ประตูเท่านั้น 

สองประตูที่พวกเขาเสียเกิดขึ้นในเกมเจอกับซาอุดิอาระเบียทั้งคู่ โดยเป็นสองประตูที่ทัพซาอุดิอาระเบียมีค่าคาดหวังรวมกันแค่ 0.1 ประตูเท่านั้น แต่ด้วยการจบสกอร์ที่มหัศจรรย์ของซาอุดิอาระเบีย ทำให้ค่าคาดหวังเพียง 0.1 ประตูนั้นกลายเป็นสองประตูไปได้เสียอย่างนั้น ในเกมที่อาร์เจนติน่าเป็นฝ่ายพับบุกใส่ทั้งเกม โดนริบประตูจากการล้ำหน้าไม่น้อยกว่าสามลูก  

ในเกมกับออสเตรเลียในวันเสาร์ต่อมา ออสเตรเลียสามารถยิงเข้ากรอบให้เอมิ มาร์ติเนซได้ออกแรงเซฟเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และอาร์เจนติน่าก็มีค่าคาดหวังการเสียประตูอยู่ที่ 0.5 ประตูเท่านั้น ส่วนประตูที่เสียในเกมนั้นก็มาจากการทำเข้าประตูตัวเองของเอนโซ่ เฟร์นานเดซ 

สิ่งที่ทำให้เกมรับของพวกเขามีประสิทธิภาพขนาดนี้นั้นก็คือการที่พวกเขาสามารถเพรสแย่งบอลคืนได้ไวมากหลังจากที่เสียบอลไป เพราะพวกเขาจะวิ่งไล่บอลกันทั้งทีมทันทีเมื่อเสียการครองบอล และจะไม่หยุดไล่จนกว่าจะได้บอลกลับมา

พระเอกของเราอย่างเมสซี่ก็คงไม่ได้จะลงมาไล่บอลเองมากเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นเครดิตในเรื่องของเกมรับเราก็คงต้องยกให้เพื่อนร่วมทีมของเขามากกว่า โดยเฉพาะ โรดริโก้ เดอ ปอล ที่โดดเด่นมากในการปิดจุดอ่อนนั้นของเมสซี่ 

พวกเขาพึ่งพาซึ่งกันและกันและพร้อมที่จะเล่นอย่างถวายหัวในแดนรับ นั่นคือปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง คุณสามารถดูได้จากนัดที่พวกเขาเจอกับออสเตรเลียได้เลย หลังจากที่ลิซานโดร มาร์ติเนซ บล็อกลูกยิงในจังหวะสำคัญได้ และต่อมาก็เป็นเอมิ มาร์ติเนซ ที่เซฟลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บได้ การฉลองสองเหตุการณ์นี้ของพวกเขามันได้แสดงออกมาถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจริง ๆ และนี่ก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะของพวกเขา

เวทมนตร์ลูกหนังของเมสซี่ก็ยังอันตรายเสมอ

และเมื่อคุณรวมความแข็งแกร่งในเกมรับเข้ากับความสามารถในการสร้างความแตกต่างในเกมรุกของเมสซี่เข้าด้วยกันล่ะก็ อาร์เจนติน่าคือทีมระดับตัวเต็งแชมป์อย่างแน่นอน และจะเป็นต่อทุกทีม ไม่ว่าใครจะเป็นคู่แข่งก็ตาม

ครั้งล่าสุดที่ฟุตบอลมีแชมป์โลกที่พลาดท่าแพ้ในเกมเปิดสนามนั้นคือปี 2010 ที่สเปนแก้ตัวได้สำเร็จและคว้าแชมป์ไปได้ จะว่าไปสเปนในปีนั้นกับอาร์เจนติน่าในปีนี้ก็มีอะไรที่คล้ายกันหลายอย่างอยู่เหมือนกัน

เช่นเดียวกับทีมกระทิงดุ ทีมฟ้าขาวก็สามารถคว้าแชมป์ทวีปได้ก่อนลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งนั้น ๆ เหมือนกัน และก็ถูกวางให้เป็นตัวเต็งทั้งคู่ ทั้งสองทีมยังชอบครองบอลให้ได้มาก ๆ เพื่อครองเกมเหมือนกัน มีเกมรับที่เหนียวแน่นเหมือนกัน แล้วก็ยังเข้ารอบไปได้แม้ว่าจะแพ้ในนัดเปิดสนามเหมือนกันอีก

ทั้งสองทีมยังมีประตูได้เสียเท่ากันที่ +4 ประตู หลังผ่านไปสี่นัด โดยสเปนในปี 2010 ยิงได้ห้าประตู เสียหนึ่ง ส่วนอาร์เจนติน่ายิงได้เจ็ด เสียไปสาม เราคิดว่านี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ

สถิติแปลก ๆ อื่น ๆ ก็ยังเป็นใจให้อาร์เจนติน่าอีกด้วย

เรื่องที่น่าสนใจก็คือในฟุตบอลโลกสองครั้งที่อาร์เจนติน่าคว้าแชมป็ได้ในปี 1978 และ 1986 อาร์เจนติน่ามีการยิงจุดโทษพลาดในเกมที่สามทั้งคู่ จากมาริโอ เคมเปส ในปี 1978 และ ดิเอโก้ มาราโดน่าในปี 1986 แต่ในทั้งสองครั้ง อาร์เจนติน่าก็ผ่านมันไปได้ และคว้าแชมป์ได้ในปีนั้น ๆ ทั้งสองครั้ง

และใช่ครับ ในเกมที่สามของอาร์เจนติน่ากับโปแลนด์ ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยิงจุดโทษไปติดเซฟของวอยเช็ค เชสนี่ เช่นเดียวกัน บางทีมันอาจจะเป็น “เติร์ดไทม์ลักกี้” ของอาร์เจนติน่าชุดประวัติการณ์นี้ก็เป็นได้ ในการหวังเดินทางตามรอยของสองชุดแชมป์โลกก่อนหน้า

อ่าน:  ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์: เหล่านักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง
Leave A Reply