พรีเมียร์ลีกก็ลงฟาดแข้งกันมาเกือบจะถึงครึ่งทางของฤดูกาลแล้ว และสัปดาห์ล่าสุดก็เต็มไปด้วยเหตุการณ์และการแข่งขันสุดเร้าใจมากมายไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนก็ตาม
ความสำคัญของแต่ละเกมมันค่อย ๆ มากขึ้นและจะเห็นผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่หลาย ๆ ทีมจะต้องรู้สึกกดดันไม่น้อย แมตช์การแข่งขันมากมายทั้งบอลลีกและบอลถ้วยจะเข้ามาหานักเตะอย่างไม่ขาดสายชนิดแทบไม่ได้พักกันอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะยังเปลี่ยนแปลงกันได้ ตอนนี้เราก็พอจะเห็นภาพกันแล้วว่าใครจะเป็นตัวเต็งที่จะลุ้นแชมป์ ไปบอลยุโรป หรือตกชั้นไป
เพราะการต่อสู้ในทั้งสามโซน การลุ้นแชมป์ในโซนหัวตาราง การแย่งโควต้าบอลยุโรปในโซนกลางตาราง และการหนีตกชั้นในโซนท้ายตารางนั้นต่างก็ดุเดือดไม่แพ้กันเลย เพราะทุกทีมต่างก็พยายามจะคว้าทุกแต้มที่เป็นไปได้เพื่อบรรลุเป้าหมายในฤดูกาลนี้ของพวกเขาให้จงได้ อย่างไรก็ดี ในบทความนี้เราจะเน้นไปที่การต่อสู้บริเวณหัวตารางมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องการแย่งแชมป์ในฤดูกาลนี้
ในฤดูกาลที่มีเรื่องช็อคแฟนบอลมากมายฤดูกาลนี้ สามทีมในตำแหน่งท็อปโฟร์ของลีกตอนนี้ไม่ได้จบในอันดับโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลก่อนด้วยซ้ำ และเช่นเดียวกัน สามทีมเจ้าของท็อปโฟร์ในฤดูกาลก่อนก็กำลังมีปัญหาอย่างหนักเลยล่ะ
และหลังจากที่ทุกเกมในคิวเตะสัปดาห์ก่อนจบลง วันนี้เราจะมาดูและลองวิเคราะห์ผลคู่ต่าง ๆ (ที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว) ว่าผลการแข่งขันในสัปดาห์นี้จะส่งผลต่อการลุ้นแชมป์อย่างไรบ้าง และอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
อาร์เซนอลเปิดหัวเลกสองได้อย่างยอดเยี่ยม หยุดสถิติไร้ชัยเหนือไก่เดือยทองได้สำเร็จ
อาร์เซนอลในตอนนี้เหมือนกับทีมต่างดาวไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุดพวกเขาได้เลยในตอนนี้ ในเกมที่ผ่านมา พวกเขาบุกไปเยือนเพื่อนบ้านคู่ปรับตลอดกาลทื่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรอย่างท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ทีมที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะหรือเก็บคลีนชีตได้เลยในเจ็ดครั้งล่าสุดที่เจอกัน แต่ในครั้งนี้พวกเขากลับทำได้ทั้งสองอย่าง ทั้งกลับบ้านพร้อมสามคะแนนเต็มแถมเก็บคลีนชีตได้ด้วย ถ้านี่ยังไม่ใช่คุณสมบัติและฟอร์มของทีมที่เป็นเต็งแชมป์ล่ะก็ เราก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าฟอร์มระดับแชมป์มันจะขนาดไหน
ความผิดพลาดของฮูโก้ โยริสในนาทีที่ 14 ทำให้อาร์เซนอลออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะนำไปแล้วทัพปืนใหญ่ก็ยังโหมบุกใส่และกดดันแนวรับของเจ้าบ้านอย่างต่อเนื่อง จนเอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ และ โธมัส ปาร์เตย์ เกือบจะยิงได้ โดยรายหลังวอลเลย์นอกกรอบแบบสุดสวย น่าเสียดายที่ลูกดันไปชนเสา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็มาได้มาร์ติน โอเดการ์ดที่ทำประตูให้ทีมนำห่างออกไปอยู่ดี
ทีมไก่เดือยทองกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นในครึ่งหลัง และเจาะเกมรับอาร์เซนอลได้บ่อยครั้ง แต่อารอน แรมส์เดล ก็ยังเอาอยู่ โชว์ผลงานเซฟสวย ๆ ได้ทุกครั้งที่เพื่อนร่วมทีมของเขาพลาดท่า
ลูกทีมของมิเกล อาร์เตต้าแสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจของผู้ชนะออกมาให้เห็นตลอด และไม่เคยตื่นตระหนกเลยแม้ว่าสนามจะเต็มไปด้วยกองเชียร์ทีมคู่แข่ง ผลการแข่งขันในเกมนี้มันได้แสดงออกมาแล้วว่าอาร์เซนอลเป็นทีมที่ทนต่อแรงกดดันได้แบบสบาย ๆ
ผลจากสามคะแนนเต็มในนัดนี้ยังทำให้พวกเขาเพิ่มระยะห่างเหนืออันดับสองเป็นแปดคะแนนด้วย และการันตีว่าจะได้เป็นผู้กุมชะตาของตัวเองอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็จนถึงนัดที่ต้องตัดแต้มกับทีมเรือใบสีฟ้าแบบทางตรง
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้คือการปิดประตูแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยหรือเปล่า
แน่นอนว่าไม่ แต่ความเป็นจริงก็คืออาจจะใช่ก็ได้
ความพ่ายแพ้ต่ออริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นช่างเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำลายความมั่นใจของทีมเรือใบสีฟ้าเหลือเกิน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าพวกเขาแพ้หรือเพราะมีจังหวะปัญหาในลูกตีเสมอของทีมปีศาจแดงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีมมากกว่า
พลพรรคเรือใบสีฟ้าครองบอลได้ถึง 71% ในเกมนี้ แต่แทบจะไม่มีจังหวะไหนเลยในเกมนี้ที่พวกเขาได้ครองเกม ช่วงที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นช่วงต้นครึ่งหลัง ที่พวกเขาหาจังหวะขึงบุกใส่ทีมปีศาจแดงได้ และเป็นแจ็ค กรีลิช ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาใช้จังหวะนี้ทำประตูขึ้นนำให้ทีมได้สำเร็จ หลังเกมผ่านไปราว 60 นาที
ฟิล โฟเด้น ยังคงหาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่เจอจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาทีที่ 57 ของเกม และตัวสำรองที่ลงไปแทนเขาอย่างแจ็ค กรีลิชก็สามารถทำประตูได้ทันทีในอีกสามนาทีต่อมา ทุกอย่างเหมือนกับว่าซิตี้สามารถจัดการทีมปีศาจแดงได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นรองในครึ่งแรกก็ตาม แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสองประตูรวดในช่วงสี่นาทีสุดชุลมุน และหยุดสถิติลูกทีมของเป็ป กวาดิโอล่าได้สำเร็จ หลังจากก่อนหน้านี้ 41 เกมที่ทีมเรือใบสีฟ้าเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน พวกเขาไม่เคยแพ้เลย แต่วันนี้สถิติสุดน่าทึ่งนี้มาถึงจุดจบแล้ว
แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าคือฟอร์มของเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าชาวนอร์เวย์ที่เพิ่งย้ายเข้ามาร่วมทีมเมื่อตลาดฤดูร้อนที่ผ่านมา ในฐานะจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของทีม ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม การที่เขาซัลโวไปถึง 21 ประตูแล้วในลีกฤดูกาลนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกนี้ แต่ช่วงหลัง ๆ ดูเหมือนเขาจะฟอร์มตกไปหน่อย
เขาทำประตูไม่ได้เลยในสามเกมล่าสุดกับทีม (รวมทุกรายการ) และแทบไม่มีส่วนร่วมกับการทำเกมชองทัพเรือใบสีฟ้าเลย จากสถิติในเกมก่อน เขาได้สัมผัสบอลเพียง 20 ครั้งเท่านั้น น้อยที่สุดในบรรดาผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ทั้ง 20 คน แถมมีโอกาสสับไกยิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดเกม
อย่างไรก็ดีเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาลันด์นั้นแทบไม่มีส่วนกับการทำเกม แต่ในครั้งอื่น ๆ เขาก็ยังทำประตูได้แม้จะไม่ได้สัมผัสบอลมากนัก แต่ในเกมนี้มันต่างออกไป ทีมปีศาจแดงสามารถหยุดฮาลันด์ได้ด้วยวิธีการตัดท่อน้ำเลี้ยงของเขา ทำอย่างไรก็ได้ให้บอลมาไม่ถึงฮาลันด์ และมันก็ได้ผลเสียด้วย ในการที่จะรับมือกับแผนนี้ ฮาลันด์ต้องแสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณกองหน้าที่มากกว่านี้ รวมถึงปรับรูปแบบการเล่นให้มีมิติมากขึ้นให้ได้
และชัยชนะเหนือสเปอร์ของอาร์เซนอลหมายความว่าในตอนนี้ทัพปืนใหญ่อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเอามาก ๆ ในเรื่องการลุ้นแชมป์ พวกเขาจะต้องพลาดติด ๆ กันหลายนัดจริง ๆ ถึงจะพลาดแชมป์ในปีนี้ ส่วนซิตี้ก็ต้องพลาดให้น้อยที่สุดหากยังหวังลุ้นแชมป์อยู่ และภาวนาให้พลพรรคปืนใหญ่พลาดในช่วงกดดันท้ายฤดูกาล
การกลับมาของยูไนเต็ดในครั้งนี้จะพาพวกเขาไปสุดทางเลยหรือเปล่า
ในอีกด้านหนึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นจนพลิกกลับมาแซงเอาชนะล้างแค้นทีมเรือใบสีฟ้าได้สำเร็จ หลังจากที่ในเลกแรกพวกเขาโดนถล่มมาถึง 6-3 เมื่อไม่ถึงสามเดือนทีผ่านมา ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้พวกเขาขยับมารั้งอันดับสามแล้ว ตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้อันดับสองเพียงคะแนนเดียว และตามหลังจ่าฝูงอาร์เซนอลเก้าคะแนน นี่แหละ พอเวลาเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป
แผนของทีมปีศาจแดงในครึ่งแรกได้ผลเป็นอย่างมาก พวกเขาทำให้ทีมเรือใบสีฟ้ามีโอกาสยิงตลอดทั้งครึ่งเพียงสองครั้งเท่านั้น ขณะที่พวกเขาได้โอกาสยิงเหน่ง ๆ ถึงสองครั้งจากการโต้กลับ แม้จะยังไม่ได้ประตูก็ตาม ส่วนในครึ่งหลัง โดยเฉพาะช่วงต้นครึ่งหลังเป็นทีมเรือใบสีฟ้าที่ทำได้ดีกว่า และทำประตูขึ้นนำได้สำเร็จ แต่พลพรรคปีศาจแดงก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมแพ้และความมุ่งมั่นออกมา ด้วยการพลิกกลับมาเอาชนะได้แม้จะโดนนำไปก่อน ซึ่งนี่อาจเป็นชัยชนะที่เปลี่ยนชะตาของฤดูกาลนี้ไปเลย
พวกเขามีสถิติค่าคาดหวังการทำประตู (xG – Expected goals) อยู่ที่ 1.72 ประตูในเกมนี้ และยิงเข้ากรอบได้ถึงสี่ครั้ง ในขณะที่ทีมเรือใบสีฟ้ามีค่าคาดหวังการทำประตูอยู่ที่ 0.65 ประตูเท่านั้น และยิงเข้ากรอบได้เพียงครั้งเดียวถ้วน ซึ่งนี่เป็นเกมที่ลูกทีมของเป็ป กวาดิโอล่า ยิงเข้ากรอบได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เลย นับตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมเมื่อหกปีก่อน
ก่อนหน้านี้ มีคำถามมากมายก็เกิดขึ้นในหัวแฟนบอล ว่าจริง ๆ แล้ว ลูกทีมของเอริก เทน ฮากนั้นฟอร์มแรงจริงหรือเปล่า หรือแค่เพราะมีโปรแกรมที่ง่ายก็เลยเอาชนะได้อย่างต่อเนื่อง เกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ต่างหากที่จะเป็นตัวชี้วัดชั้นดีว่าพวกเขานั้นของจริงหรือไม่ ซึ่งเราก็คงรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมนั้น ถือว่าพวกเขาสอบผ่านเสียยิ่งกว่าสอบผ่านเสียอีก
อย่างไรก็ดี ลูกทีมของเอริก เทน ฮากยังมีงานยากรออยู่ เพราะในรอบเจ็ดวันถัดไป พวกเขามีสองเกมใหญ่รออยู่ที่ลอนดอน เกมแรกในวันพุธกับคริสตัล พาเลซ และเกมบิ๊กแมตช์ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมกับอาร์เซนอลในวันอาทิตย์ หากพวกเขาเอาชนะทั้งสองเกมและเก็บหกคะแนนเต็มกลับแมนเชสเตอร์ได้ล่ะก็ ช่องว่างระหว่างพวกเขากับอาร์เซนอลจะเหลือเพียงสามคะแนนเท่านั้น ซึ่งหากว่าถ้าพวกเขาทำได้จริงล่ะก็ เราก็คงต้องนับพลพรรคปีศาจแดงว่าเป็นทีมลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวแล้วล่ะ
หลังจากมีข้อครหาและคำวิจารณ์มากมายในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่ากุนซือหนุ่มชาวดัตช์จะอยู่ไม่ถึงปี สามเดือนหลังจากนั้น เขาทำให้ทีมกลายเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ได้เสียอย่างนั้น และไม่ว่าในสองเกมต่อไปพวกเขาจะทำได้กี่แต้ม ก็ถือว่าพลพรรคปีศาจแดงนั้นไม่ใช่ทีมเดิมในช่วงต้นฤดูกาลแล้ว แต่เป็นปีศาจแดงโฉมใหม่ที่เสริมเขี้ยวเสริมเล็บมาจนน่ากลัวขึ้นอย่างมาก