มันยากที่จะเชื่อว่าถึงจนถึงจุดนี้ของฤดูกาล ลิเวอร์พูลจะพบว่าพวกเขาอยู่ในอันดับที่ 10 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่ได้เห็นลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์จะถึงจุดต่ำสุดครั้งใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางพลิกโชคชะตาของพวกเขาให้กลับมาได้เลย
ในตอนที่ลิเวอร์พูลพ่ายให้กับนาโปลี 4-1 ทุกคนมองว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญและเป็นวันแย่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับทีมไหนก็ได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความวินาศสันตะโรที่กำลังรอพวกเขาอยู่
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีหลายจุดในฤดูกาลนี้ที่คุณคิดกับตัวเองว่า “มันคงไม่แย่ไปกว่านี้หรอกมั้ง?” และสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น
ความพ่ายแพ้แบบสุดช็อคของพวกเขาในเกมเยือนน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ที่เพิ่งเลื่อนชั้นตามมาด้วยความพ่ายแพ้อีกนัดให้กับลีดส์ ยูไนเต็ดคาบ้าน
ความพ่ายแพ้ 2 เกมติดต่อกันตามมาด้วยผลการแข่งขันในเชิงบวกก่อนเข้าสู่ช่วงพักเบรคฟุตบอลโลก ฟอร์มของพวกเขานับตั้งแต่กลับมาจากฟุตบอลโลกนั้นเป็นหนึ่งในฟอร์มที่แย่ที่สุดที่ลิเวอร์พูลเคยลงเล่นภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน
นับตั้งแต่จบช่วงเบรคฟุตบอลโลกจบลง ลิเวอร์พูลโดนเบรนท์ฟอร์ดยำเละคาสนามคอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยมและโดนไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยนถล่มในเกมที่เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม
เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาโดนวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ถล่มไปอีก 3-0 ซึ่งถือเป็นความพ่ายแพ้นัดที่ 7 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของพวกเขา
ลิเวอร์พูลลงเล่นทั้งหมด 64 เกมในฤดูกาลที่แล้ว (ถือเป็นจำนวนเกมมากที่สุดที่ทีมจากอังกฤษจะสามารถลงเล่นได้รวมทุกรายการ) และแพ้เพียง 4 เกมเท่านั้น แต่ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลแพ้ไปแล้วเกือบ 2 เท่าในเกมลีกหลังจากลงเล่นได้เพียง 20 เกมเท่านั้น
ทีมที่เกือบจะคว้าแชมป์ได้ทุกรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้วกลายเป็นทีมที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลยในขณะนี้ จิตวิญญาณแห่งปิศาจมันหายไปแล้ว
ฐานแฟนบอลกำลังเพ่งเล็งไปในหลายทิศทาง, มองหาใครสักคนที่จะเป็นแพะและในขณะที่บางคนก็ตำหนิทีมงานและบอร์ดบริหาร ส่วนคนอื่น ๆ ก็มุ่งความเดือดดาลไปยังผู้จัดการทีมของพวกเขาอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์
เพราะงั้นแล้ว ทำไมลิเวอร์พูลถึงมีฟอร์มที่ย่ำแย่เช่นนี้กันล่ะ?
ในส่วนนี้ พวกเราพยายามที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทั้งหมดของเรื่องนี้ คุณก็เห็นว่าปัญหาของลิเวอร์พูลนั้นมีมากกว่าส่วน ๆ เดียวของสโมสร พวกมีปัญหาในหลาย ๆ ด้านเลยล่ะ
นักเตะภายในทีม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลิเวอร์พูลได้รวบรวมหนึ่งในทีมชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีกยุคใหม่และพวกเขาได้ผลตอบแทนจากการควานหาตัวนักเตะอย่างชาญฉลาดโดย FSG ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผลที่ออกมามันกลับตรงกันข้ามและเหล่ากองเชียร์ต่างก็ปรารถนาให้ทีมบอร์ดบริหารออกจากทีมไปซะ
พวกเขาอาจทำสิ่งที่ถูกในครั้งแรกในการมองหาตัวนักเตะและนี่คือการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่พวกเขาทำเมื่อรวบรวมทีมจนถึงปัจจุบัน แต่การตัดสินใจของพวกเขาตั้งแต่นั้นมากลับไม่ดีเท่าเดิมอีกเลย
เนื่องจากความสำเร็จที่ลิเวอร์พูลทำได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรจึงหยุดมองหาตัวนักเตะในระยะยาวและหยุดการวางแผนสืบทอดตำแหน่งของพวกเขา ตัวอย่างคือชุดกองกลางของลิเวอร์พูล
นับตั้งแต่การมาของนาบี้ เกอิต้าในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ธิอาโก้ อัลคันทาร่าคือตัวเลือกในแดนกลางเพียงคนเดียวที่พวกเขาเซ็นสัญญามาร่วมทีมชุดใหญ่ พวกเขายืมตัวอาร์เธอร์ เมโล่มาด้วย แต่เขาแทบจะไม่ได้ลงสนามเลยเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ
สามมิดฟิลด์ตัวจริงของลิเวอร์พูลอย่างฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สันและธิอาโก้ต่างเป็นนักเตะที่อายุปาเข้าไป 30 ปีแล้วและไม่มีแรงมากพอที่จะวิ่งไล่ตลอด 90 นาทีอย่างที่คล็อปป์ต้องการได้ทุกเกมได้แล้ว
เป็นที่ชัดเจนมาซักระยะหนึ่งแล้วว่าการขาดตัวเลือกที่เพียงพอในตำแหน่งกองกลางของลิเวอร์พูลนั้นอาจจะทำให้พวกเขาโชว์ฟอร์มเก่งไม่ออกและตลาดซื้อขายในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเสริมทัพในแดนกลาง (ไม่ใช่การยืมตัวชั่วคราว) แต่พวกเขาก็ตัดสินใจทำอย่างอื่นแทนซะอย่างนั้น
ลิเวอร์พูลเซ็นสัญญาคว้าตัวดาร์วิน นูนเญซของเบนฟิก้าในราคา 100 ล้านยูโรและฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์ตัวรุกดาวรุ่งระดับพรสวรรค์ซึ่งไม่ใช่นักเตะที่ลิเวอร์พูลต้องการในตำแหน่งกองกลางเลย พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลใหม่โดยขาดกองกลางที่แข็งแกร่งและต้องรับโทษของการไม่มีกลางที่ดีพออย่างสาสม
เมื่อถึงเดือนมกราคม ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะสำหรับลิเวอร์พูลในการเสริมตัวนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่พวกเขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขากลับเพิ่มนักเตะในแนวรุกมาเสริมเกมรุกที่พวกเขามีอาวุธหนักอยู่แล้วเข้าไปอีกและข้อตกลง 42 ล้านยูโรสำหรับนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีในฟุตบอลโลกอย่างโคดี้ กัคโปก็เกิดขึ้น
ในขณะที่บางคนตื่นเต้นที่พวกเขาสามารถเบียดเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ในการปาดหน้าคว้าตัวกัคโป แต่คนอื่น ๆ ก็กังวลว่านักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ของทีมนั้นยังดูอ่อนแอมากแค่ไหนอยู่ดี
พวกเขาไม่ได้พยายามเพิ่มตัวเลือกในแดนกลางและการเซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะแนวรุกตัวใหม่ก็ยิงประตูได้ไม่มากพอในช่วงเวลาสำคัญที่จะพายอดสโมสรแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ขึ้นไปอยู่หัวตาราง ปัจจุบันพวกเขากำลังเผชิญปัญหาที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง เมื่อคุณพิจารณาถึงฟอร์มอันย่ำแย่ของฟาบินโญ่โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ การตัดสินใจของพวกเขายิ่งดูน่างุนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าแฟนบอลหงส์แดงถึงอยากให้ FSG ขายทีมทิ้งไปซะ
อาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้า
ด้วยจำนวนนักกีฬาระดับท็อปที่ลงสนามหลายเกมตลอดช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยล้าสะสมและนี่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเตะของลิเวอร์พูล ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หงส์แดงลงเล่นทุกเกมที่มีตลอดทั้งฤดูกาลในฤดูกาล 2021/22 พวกเขาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศทุกรายการและเบียดแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้จนถึงวันสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย
เกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้เกิดขึ้นเพียง 63 วันหลังจากที่ลิเวอร์พูลพ่ายให้กับเรอัล มาดริดในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทำให้นี่เป็นช่วงปิดฤดูกาลที่สั้นที่สุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ของสโมสร นั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีเวลาน้อยกว่าสำหรับนักเตะที่จะพักผ่อนระหว่างฤดูกาล ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ภายในเดือนสิงหาคม ลิเวอร์พูลมีนักเตะมากถึง 10 คนที่ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ ลิเวอร์พูลมีหลุยส์ ดิอาซ, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ดิโอโก้ โชต้าและอาร์เธอร์ที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ โดยนักเตะส่วนใหญ่ในทีมต้องดิ้นรนเพื่อรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีเอาไว้ให้ได้
สไตล์การเล่นของเจอร์เก้น คล็อปป์นั้นต้องการให้ลูกทีมของเขามีสภาพร่างกายและจิตใจที่ดีเยี่ยมและอาการบาดเจ็บทั้งหมดที่พวกเขาต้องเจอในแต่ละช่วงในฤดูกาลนี้บ่งบอกว่าพวกเขายังห่างไกลจากสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ด้วยความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ เห็นได้ชัดเลยว่าสภาพจิตใจของทีมที่แข็งแกร่งของพวกเขาได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากเช่นกัน
เจอเก้น คล็อปป์คือตัวปัญหารึเปล่า?
ฐานแฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนหนึ่งดูเหมือนจะคิดแบบนั้นและพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้นเช่นกัน กุนซือชาวเยอรมันทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องในสนามและในการแถลงข่าว ข้อแก้ตัวบางอย่างที่เขาพูดออกมาทำให้แฟนบอลบางคนรู้สึกหงุดหงิด
จากการคุยโม้เรื่องที่สนามแห้งในช่วงต้นฤดูกาลหลังจากที่พวกเขาเสมอกับฟูแล่ม ไปจนถึงปัญหาลูกตั้งเตะของเบรนท์ฟอร์ดเมื่อไม่นานมานี้ ทุก ๆ อย่างที่เขาพูดนั้นฟังดูค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียนเลยทีเดียว
บางที ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเจอเก้น คล็อปป์ก็คือความภักดีของเขา เมื่อคุณเปรียบเทียบลิเวอร์พูลทีมนี้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่พวกเขาเบียดกันแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คุณจะสังเกตได้ว่าทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่านั้นมีนักเตะตัวสำคัญย้ายออกจากทีมแล้วก็มีนักเตะหน้าใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมอยู่เสมอ
สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว กลยุทธ์ “ถ้ามันยังไม่พัง ก็อย่าพึ่งซ่อม” ของเจอเก้น คล็อปป์นั้นก็ยังดำเนินต่อไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้เหล่าบอร์ดบริหารทั้งหมดเริ่มพึงพอใจกับอนาคตของสโมสร การขาดการยกเครื่องนักเตะในทีมอย่างเหมาะสมนั้นทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขายังคงต้องเข็นเจมส์ มิลเนอร์ในวัย 36 ปีลงสนามในตำแหน่งกองกลางหรือแบ็คขวา
ฟอร์มที่ย่ำแย่ของฟาบินโญ่อันเป็นผลมาจากการลงสนามไปหลายเกมในปีที่แล้วโดยไม่มีใครมาช่วยประคองเขาในตำแหน่งนี้เลยก็เป็นอีกตัวบ่งชี้หนึ่ง
ฤดูกาลนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับทีมและมีรายงานว่าคล็อปป์กำลังจะสร้างทีมใหม่ทั้งหมด แต่หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างในช่วงนี้จนถึงช่วงปิดฤดูกาล คล็อปป์เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับลิเวอร์พูลไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งยาวไปจนถึงปี 2026 แต่หากเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของลิเวอร์พูลได้ทันเวลาแล้วล่ะก็ เหล่าบอร์ดบริหารอาจจะต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งของเขาแล้วล่ะ
ใครจะเข้ามาแทนเจอร์เก้น คล็อปป์ได้บ้าง?
หากสถานการณ์ของลิเวอร์พูลเลวร้ายลงเรื่อย ๆ และพวกเขาตัดสินใจปลดผู้จัดการทีม แน่นอนว่ามีผู้จัดการทีมระดับชั้นนำในตลาดที่พร้อมจะเข้ามาแทนที่เจอร์เก้น คล็อปป์ เราจะสรุปรายชื่อโค้ชที่สามารถเข้ามาแทนที่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลมันเกิดขึ้นจริง
โธมัส ทูเคิล: อดีตผู้จัดการทีมเชลซีตกงานตั้งแต่เขาถูกไล่ออกจากบังเหียนของเชลซีเมื่อต้นฤดูกาลนี้และโอกาสที่จะได้คุมทีมใหญ่จากอังกฤษอีกทีมย่อมทำให้เขาสนใจอย่างแน่นอน
กุนซือชาวเยอรมันได้สร้างชื่อขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกพร้อมกับตำแหน่งแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย
ดิเอโก้ ซิมิโอเน่: ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลจะชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นอย่างชัดเจนในแอนฟิลด์อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากตัดเรื่องสไตล์การเล่นทิ้งไป ซิเมโอเน่เป็นผู้จัดการทีมประเภทที่จะรักสโมสรอย่างลิเวอร์พูลและบรรยากาศที่สโมสรสร้างขึ้นได้แบบไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ
เป๊ป ลินเดอร์ส: แน่นอนว่ามือขวาของเจอร์เก้น คล็อปป์จะมีโอกาสได้รับการพิจารณาให้รับงานนี้เป็นตัวเลือกแรก เป๊ป ลินเดอร์สเป็นที่เคารพนับถือของคล็อปป์ รวมถึงหลาย ๆ คนที่อยู่ที่ลิเวอร์พูลและพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่เมื่อเวลาของเขาที่ลิเวอร์พูลหมดลง ถ้าคล็อปป์ถูกไล่ออกหรือย้ายออกไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ลิเวอร์พูลสามารถดึงเขามาสานต่องานนี้ได้
จูเลี่ยน นาเกลส์มันน์: กุนซือชาวเยอรมันอีกคนในลิสต์นี้คือผู้จัดการทีมของบาเยิร์น มิวนิค จากการที่ตอนนี้เขากำลังพาเสือใต้ขับเคี่ยวลุ้นแชมป์อย่างดุเดือด หากบาเยิร์นไม่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้นั้นอาจจะทำให้เวลาของนาเกิลส์มันน์ในแคว้นบาวาเรียต้องจบลง หากเขาย้ายออกไปในเวลาเดียวกันกับที่คล็อปป์ไม่ได้อยู่กับลิเวอร์พูลแล้ว แน่นอนว่าลิเวอร์พูลจะมองหาเขาเข้ามาคุมทีมอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ
สตีเว่น เจอร์ราร์ด: การกลับมายังถิ่นแอนฟิลด์ของตำนานลิเวอร์พูลและนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา สำหรับสตีเว่น เจอร์ราร์ดแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องของเทพนิยายเลยล่ะ แต่นี่ล่ะคือประเด็น ผลงานของเจอร์ราร์ดในพรีเมียร์ลีกนั้นไม่สู้ดีเลยและเขาพึ่งถูกไล่ออกเมื่อต้นฤดูกาลนี้
เขาทำได้ดีมากที่เรนเจอร์สและกลาสโกว์ เรนเจอร์สก็เป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสก็อตแลนด์ เขาคว้าแชมป์ลีกกับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีถึงความต้องการในการจัดการกลุ่มนักเตะที่ต้องการคว้าแชมป์และลิเวอร์พูลสามารถเอาเรื่องนั้นมาพิจารณาได้เลยล่ะ