สารบัญ
- โมเมนต์สุดท้ายของเปเล่
- รำลึกความยิ่งใหญ่ของเปเล่
- ย้อนรอยสถิติและรางวัลต่าง ๆ ของเปเล่
- เปเล่เปลี่ยนแปลงฟุตบอลไปอย่างไรบ้าง
- คำพูดต่าง ๆ เกี่ยวกับความสำเร็จของเปเล่
- บทส่งท้าย
โลกฟุตบอลต้องตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ เพียงไม่กี่อาทิตย์เท่านั้นหลังจากเพื่งฉลองแชมป์ฟุตบอลโลกกันไป
เอ็ดสัน อรานเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือในชื่อที่รู้จักและมีแฟนคลับกันทั้งโลกอย่าง “เปเล่” ได้จากโลกนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย แล้ว หลังจากสู้กับอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่มาสักพัก เขาตายเมื่อมีอายุได้ 82 ปี แต่จะอยู่ในหัวใจของครอบครัว, แฟนบอลบราซิล และ โลกฟุตบอลตลอดไปอย่างแน่นอน
จริง ๆ มันก็มีข่าวลือออกมาว่าเขาอาการไม่ค่อยดีนัก ในช่วงวิกฤตโคโรนาไวรัสในปี 2020 บางสื่อถึงขนาดพาดหัวว่าเปเล่ใกล้เสียชีวิตแล้ว และจะอยู่กับเราไปได้อีกไม่นาน
มองย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าข่าวลือเหล่านั้นจะออกมาเร็วไปสักสองปี เพราะในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา เปเล่ก็ได้จากโลกนี้ไปอย่างตลอดกาล
ชายผู้ทำให้ฟุตบอลกลายมาเป็นกีฬาระดับโลกขวัญใจมหาชนด้วยลีลาท่าทางของเขานั้นได้จากไปแล้ว และสิ่งที่เราทำได้ทั้งหมดในตอนนี้ก็คือย้อนไปดูว่าเปเล่นั้นทำอะไรไว้บ้างเพื่อโลกฟุตบอล
วันนี้เราจะมาลองดูในเรื่องของชีวิตส่วนตัวและความยิ่งใหญ่ของเปเล่ นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกฟุตบอลอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะดูสถิติประกอบหรือไม่ก็ตาม
ความยิ่งใหญ่ของเปเล่มีอะไรบ้าง
เอ็ดสัน อรานเตส โด นาสซิเมนโต้ เกิดในประเทศที่คลั่งใคล้ฟุตบอลอย่างบราซิล และในเวลาที่ทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วว่าฟุตบอลสามารถเป็นกีฬาที่มีอะไรมากกว่าความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
เขาค่อย ๆ ขยับจากคนดูไปเป็นผู้เล่น จากนั้นเขาก็ถูกยกให้เป็นเพชรเม็ดใหม่ของวงการฟุตบอลที่สามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่เล่นสนุก ๆ มาก ไม่นาน โอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อเขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิล และไปลุยฟุตบอลโลกในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ฟุตบอลโลกครั้งนั้นเป็นครั้งที่เขาจารึกตำนานของเขาเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมเลยล่ะ
โลกฟุตบอลก็มีดาวเตะระดับอัจฉริยะอยู่ทุกยุคทุกสมัย ทั้งก่อนหน้าและหลังยุคของเปเล่ หนึ่งในนั้นก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ ที่เพิ่งฉลองแชมป์ฟุตบอลโลกไปได้ไม่นาน แต่เปเล่นั้นถือเป็นราชาของโลกฟุตบอลอย่างแท้จริง และน่าจะเป็นคนแรกด้วยที่ได้รับการยกย่องด้วยตำแหน่งนี้
ไม่แปลกที่เขาได้รับการยกย่องให้เป็น “เดอะ คิง” หรือราชาลูกหนังจากผลงานในสนามของเขา ซึ่งลำพังแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว แต่เรื่องนอกสนามของเปเล่ เช่นเรื่องต่าง ๆ ที่เขาช่วยเหลือองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นนั้นก็เป็นเรื่องที่มีผลต่อตำนานของเขาไม่แพ้กันเลย
ตำนานและความสำเร็จของเขามันยิ่งใหญ่เสียจนนักเตะคนไหนที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่แล้วก็ต้องเอาดีกรีของตัวเองมาเทียบกับเปเล่นี่แหละ หากอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเขาคือของจริงเหมือนกัน
สถิติและความสำเร็จต่าง ๆ ของเปเล่
- ผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สามสมัย
- วัยรุ่น (อายุ 19 ปีหรือน้อยกว่า) คนแรกจากสองคนในประวัติศาสตร์ที่ยิงประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก
- ผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลบัลลงดอร์กิตติมศักดิ์
- เจ้าของสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในฟุตบอลโลกหนึ่งครั้ง (เจ็ดครั้งในฟุตบอลโลกปี 1970)
- ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำแฮตทริกได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก (ฟุตบอลโลกปี 1958)
- ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ (17 ปี; ฟุตบอลโลกปี 1958)
- ผู้เล่นที่ทำแฮตทริกได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล (92 ครั้ง, นับเฉพาะเกมที่มีการบันทึกสถิติ)
- นักเตะอเมริกาใต้ที่มีสถิติประตูต่อเกมดีที่สุดในประวัติศาสตร์ (77 ประตูใน 92 เกมกับบราซิล)
- ผู้เล่นที่ทำประตูในลีกสูงสุดได้มากที่สุดตลอดกาล (541 ประตูใน 560 เกมกับซานโตสในศึกบราซิเลียน เซเรีย)
- เจ้าของสถิติยิงประตูได้มากที่สุดในหนึ่งปีปฏิทิน (127 ประตูในปี 1959 และ 110 ประตูในปี 1961 – รวมเกมอย่างไม่เป็นทางการด้วย)
- เจ้าของสถิติยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาล (1,279 ประตูจาก 1,363 เกม – รวมเกมกระชับมิตรและเกมสมัยเยาวชนด้วย)
ถึงแม้ว่าที่สถิติที่เรายกมาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับตัวเลขและจำนวนประตูเป็นหลัก แต่ใครที่เคยเห็นเปเล่เล่นก็น่าจะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่พวกยิงเยอะแต่เล่นไม่สวยงามเลย เพราะขนาดเซอร์ บ็อบบี้ มัวร์ ก็ยังเคยกล่าวเอาไว้เลยว่า “เปเล่นั้นเป็นผู้เล่นที่ไม่มีจุดอ่อนเลย” และถึงแม้ว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่น่าจะสนใจและชื่นชอบนักเตะสมัยนี้ที่พวกเขามีโอกาสได้ดูเองมากกว่า แต่เปเล่นั้นจะยังคงเป็นตำนานและแม่แบบของคำว่าฟุตบอลที่สวยงามตลอดไป
วิธีที่เปเล่เปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยฟุตบอล
อิทธิพลของเปเล่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในสนามเท่านั้น ใช่ เขาคือราชาตัวจริงในเรื่องฟุตบอล แต่เขาก็ยังเป็นผู้ที่เชื่อมต่อทั้งโลกเข้าด้วยกันได้ เพียงแค่จากการเล่นฟุตบอลที่เขารักเท่านั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เปเล่หยุดสงครามได้ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
ในปี 1969 หลังจากที่ไนจีเรียเพิ่งได้เอกราชมาไม่ถึงสิบปีดี ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างสหราชอาณาจักรกับไนจีเรีย โดยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายระหว่างผู้สืบทอดอำนาจใหม่กับกองกำลังของประเทศ
แต่ทีมซานโตสก็ไม่ได้กลัวสงครามนั้นเลย กลับจัดโปรแกรมลงเตะกระชับมิตรในไนจีเรียเสียอย่างนั้น โดยเกมจะลงเล่นกันที่เมืองลาโกส เมืองที่ใหญ่ที่สุดของไนจีเรีย และแน่นอนว่าพระเอกของงานก็คือเปเล่
การเดินทางมาของเปเล่ของเปเล่นั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 48 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้ดูราชาบนผืนหญ้าลงสนามในแผ่นดินของพวกเขา การหยุดยิงครั้งนั้นลากยาวไปหลายวัน เพราะทั้งสองฝ่ายนั้นก็มีความคิดที่จะยุติสงครามนี้เหมือนกัน
ถึงกระนั้น สงครามก็ยังไม่จบลงในตอนนั้น จนกระทั่งมาจบลงจริง ๆ ในอีกปีต่อมา แม้ว่าเปเล่จะไม่ได้ยุติสงครามด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นเหตุการณ์สำคัญของโลกและฟุตบอลอย่างแท้จริง และเปเล่นั้นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สงครามหยุดลงได้ แสดงให้มนุษยชาติเห็นว่าฟุตบอลนั้นเป็นอะไรที่สวยงาม และสามารถทำให้ทุกคนกลับมาสามัคคีกันได้ แม้จะเป็นยามสงคราม
หลังจบเหตุการณ์ดังกล่าว เปเล่ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินกิตติมศักดิ์จากราชินีอังกฤษด้วย เป็นฐานะอันทรงเกียรติมาก เพราะมีไม่กี่คนนักที่ไม่ใช่ชาวยุโรปและได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินเช่นนี้
คุณจะเห็นได้เลยว่าเปเล่นั้นมีความหมายต่อโลกนี้มากแค่ไหน จากการที่เปเล่ได้รับการยกย่องมากมายจากผู้นำและรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก
“โชกา โบนิโต้” – เกมที่สวยงาม – เป็นการเคลื่อนไหวที่แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก และแน่นอนว่าเปเล่ก็เป็นศูนย์กลางของมัน
คำพูดต่าง ๆ เกี่ยวกับความสำเร็จของเปเล่
และนี่ก็คือคำพูดต่าง ๆ จากปากของตัวเปเล่เอง และจากนักฟุตบอลระดับตำนานคนอื่น ๆ อีกหลายคน เกี่ยวกับความสุดยอดของเปเล่
“ผมเกิดมาเพื่อเล่นฟุตบอล เหมือนกับที่บีโธเฟ่นเกิดมาเพื่อแต่งเพลง แล้วก็ไมเคิลแอนเจโลเกิดมาเพื่อวาดภาพนั่นแหละ”
— เปเล่ พูดไว้กับ fifa.com
“เด็ก ๆ ที่ชอบเล่นฟุตบอลจากทั่วทุกมุมโลกก็อยากเหมือนเปเล่กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผมมีภาระหน้าที่ที่จะแสดงพฤติกรรมดี ๆ ให้พวกเขาเห็น ไม่ใช่แค่ในฐานะนักฟุตบอล แต่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคมด้วย
— เปเล่ กล่าวไว้กับ Sports illustrated ในปี 1999
“ทุกอย่างในโลกนี้ก็เหมือนเกม ๆ หนึ่ง ทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเรื่อย ๆ และในตอนจบเราก็จะตายกันหมด เราก็คงหนีตอนจบนั้นไม่ได้หรอก จริงมั้ย”
— เปเล่ กล่าวไว้เมื่อปี 1977
“เปเล่ได้เป็นไอคอนและทุกอย่างของฟุตบอลก็เพราะสิ่งที่เขาทำในสนาม”
— มาริโอ ซากาลโล เพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1958 และ 1962 ชองเปเล่ และโค้ชของเปเล่ในฟุตบอลโลกปี 1970
“เปเล่เป็นนักฟุตบอลคนเดียวในโลกที่สามารถเหนือกว่าระบบตรรกะและจินตนาการทั้งปวงได้”
— โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์
บทส่งท้าย
เปเล่ได้จากเราไปแล้ว แต่เขาจะไม่ถูกลืมอย่างแน่นอน
ตำนานและเรื่องราวของเขาจะยังคงเป็นตัวอย่างให้กับนักเตะรุ่นหลัง ๆ และชื่อของเขาจะยังอยู่ในหัวใจของแฟนบอลตลอดไป ในฐานะนักเตะที่เล่นฟุตบอลได้น่าดูชมที่สุดคนหนึ่ง และเป็นความสุขให้กับแฟนบอลมาตลอด เราจะรอดูต่อไปว่าหลังจากนี้ สถานะของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเวลาผ่านไป