Author: admin

ไม่ว่าเกมการเล่นของทีมจะสนุกแค่ไหน ประตูก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่เสมอ พูดง่าย ๆ คือประตูทำให้คุณคว้าชัยชนะในเกมการแข่งขันได้และด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถมองข้ามพวกเขาได้เลย พรีเมียร์ลีกอาจจะไม่ได้รับประกันฟุตบอลในแบบที่ดีที่สุดอยู่เสมอไป แต่คุณภาพของประตูนั้นมันบ้าซะยิ่งกว่าอยู่นอกโลกซะอีก การรวบรวมรายชื่อประตูที่ดีที่สุดในลีกนั้นเป็นงานที่ยากมาก เนื่องจากมีประตูให้คุณเลือกมากมายเหลือเกิน เป็นสิ่งสำคัญที่เรากำลังจะบอกถึงว่าแม้ว่าจะมีมาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไปสำหรับประตูที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เราเลือกนั้นขึ้นอยู่กับความคิดเห็นและคุณก็สามารถโต้แย้งได้ นี่อาจทำให้คุณสงสัยว่ามาตรฐานของเรามีอะไรบ้างเกี่ยวกับประตูที่ยิ่งใหญ่ ประการแรก ประตูที่ยิ่งใหญ่ควรมาจากความว่างเปล่า ชนิดทำประตูได้แบบไม่มีใครคาดคิดว่าจะยิงได้ และคนที่ทำประตูได้ควรจะสามารถยิงลูกบอลไปในลักษณะที่ผู้รักษาประตูแทบไม่มีโอกาสเซฟได้ สำหรับตอนนี้ นี่แหละสิ่งที่เป็นนิยามของคำว่าประตูสุดน่าทึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกประเภทหนึ่งของประตูที่ยอดเยี่ยมในความหมายของเราคือการเลี้ยงเดี่ยวโซโล่ ในทางทฤษฎี แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักเตะคนหนึ่งจะเลี้ยงบอลผ่านนักเตะคู่แข่ง 3-4 คนเข้าไปทำประตูได้ เมื่อมันเกิดขึ้น (ถึงแม้จะหาดูได้ยาก) แม้แต่แฟน ๆ ของทีมฝ่ายตรงข้ามส่วนใหญ่ต่างก็พากันปรบมือให้กับผู้ที่ทำประตูได้ หมวดหมู่สุดท้ายของเราคือเรื่องฮิตที่ไม่ธรรมดา วิธีทั่วไปในการทำประตูคือการยิงด้วยเท้าหรือโหม่ง แต่ผู้เล่นบางคนก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยความพยายามที่ไม่ธรรมดา ด้วยการทำประตูด้วยวิธีที่น่าทึ่งกว่านั้น            เช่นการจักรยานอากาศ, วอลเลย์, ราโบน่าและปาเนก้าล้วนจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ทั้งสิ้น ในประวัติศาสตร์ 30 ปีของพรีเมียร์ลีก เราได้เห็นประตูที่ดูจะติดประตูยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลได้ในเกือบทุกนัด จากการที่เหล่ากองหน้าจอมถล่มประตูเช่นเวย์น รูนี่ย์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, อลัน เชียร์เรอร์และโทนี่ เยบัวห์ได้สร้างประตูสุดสวยงามมากมายไว้ในศึกพรีเมียร์ลีก ไม่นานมานี้ เราได้เห็นประตูของเอริค ลาเมล่า และ เอดินสัน คาวานี่ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยเช่นกัน และเราก็ต้องยอมรับว่ามีนักเตะมายมายที่ทำประตูระดับพรีเมียมได้อย่างนับไม่ถ้วน แต่วันนี้เราจะพูดถึงการจบสกอร์ที่ดีที่สุด 10 อันดับในประวัติศาสตร์อันโด่งดังของพรีเมียร์ลีกกัน 10. โทนี่ เยบัวห์ vs วิมเบิลดัน อดีตกองหน้าชาวกาน่าเป็นผู้ทำประตูที่ยอดเยี่ยมมากมายในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับลีดส์และทั่วยุโรป นี่เป็นหนึ่งในประตูสุดคลาสสิกของเขา มันเป็นการโซโล่ฉายเดี่ยวโดยอดีตดาวยิงของลีดส์ในเกมที่พบกับวิมเบิลดัน เขาครองบอลด้วยอกได้อย่างยอดเยี่ยม, เอาบอลลง, พาบอลเลี้ยงผ่านกองหลังที่จะเข้าสกัดเขาและยิงบอลพุ่งเป็นจรวดไปสะกิดคานก่อนที่จะเข้าประตูไป มันยังคงเป็นหนึ่งในประตูที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่คุณอยากจะดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยล่ะ 9. เอแด็ง อาซาร์ vs อาร์เซน่อล ศูนย์หน้าชาวเบลเยี่ยมอาจจะมีช่วงเวลาที่ย่ำแย่กับเรอัล มาดริดตั้งแต่ที่เขาย้ายออกจากเชลซี แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถลบออกไปจากตัวเขาได้ก็คือความจริงที่เขาเขาได้ยิงประตูสุดสวยจนทุกคนต้องอ้าปากค้างมาแล้ว นั่นคือประตูโซโล่เดี่ยวที่เขาจัดการยิงใส่คู่ปรับร่วมเมืองอย่างอาร์เซน่อลนั่นเอง ดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยมวิ่งจากกลางสนามและโชว์ความแข็งแกร่งด้วยการเบียดฟรานซิส โกเกอแล็งล้มลงไปด้านข้างและเมื่อเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในกรอบเขตโทษ เขาก็หนีโลร็องต์ กอสเซียนี่ก่อนที่จะซัดบอลเข้าก้นตาข่าย ประตูที่สุดยอดมาจากนักเตะที่มากความสามารถอย่างแท้จริง 8. ดาเลี่ยน แอตกินสัน vs วิมเบิลดัน ดาเลี่ยน แอตกินสัน ผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นผู้ทำประตูที่ยอดเยี่ยมนี้ ในช่วงเวลาของเขากับแอสตัน วิลล่า เขาไม่เพียงเป็นที่รู้จักจากการทำประตูที่ยอดเยี่ยมของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเฉลิมฉลองประตูอันน่าทึ่งของเขาอีกด้วย มันเป็นประตูโซโล่เดี่ยวที่ยอดเยี่ยมกับวิมเบิลดันในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1992/1993 แอตกินสันครองบอลจากในแดนของทีมตัวเอง เลี้ยงไปข้างหน้าและเอาชนะคู่แข่งมาได้…

Read More

ตำแหน่งผู้รักษาประตูเป็นตำแหน่งที่แฟนบอลหลายคนหมางเมินมากจนเกินไป สำหรับบางคนแล้ว ผู้รักษาประตูไม่ใช่แม้แต่นักฟุตบอล แต่เป็นเพียงคนที่จะหยุดเกมรุกของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ทำประตูได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดและในลีกอย่างพรีเมียร์ลีก การเป็นผู้รักษาประตูนั้นไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จได้และต้องใช้สมาธิและความแข็งแกร่งทางจิตใจสูงเพื่อป้องกันประตู ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้รักษาประตูหลายคนมีความสม่ำเสมอในการลงเล่นระดับสูงในการป้องกันเหล่ากองหน้าที่ยอดเยี่ยมจากการทำประตู นอกจากนี้ พวกเขายังแสดงความมั่นใจในการจัดระเบียบในเกมรับของพวกเขาและพวกเขาก็ยังคงโชว์ฟอร์มเซฟได้อย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย นักเตะอย่างปีเตอร์ ชไมเคิ่ล, เดวิด ซีแมนและปีเตอร์ เช็คถือเป็นผู้รักษาประตูดาวเด่นในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ผู้รักษาประตูเหล่านี้มีวิธีของตัวเองในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราในวิถีของการเป็นผู้รักษาประตู ใครกันที่จะกล้าลืมสถิติในแนวรับที่น่าประทับใจของเชลซีในยุคของมูรินโญ่กันล่ะ ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่าปีเตอร์ เช็คเสียประตูในพรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาลไปเพียง 15 ประตูเท่านั้น สถิตินี้ยังคงอยู่มาจนถึงวันนี้อีกด้วย แล้วใครกันที่จะลืมวีรบุรุษจอมบ้าพลังอย่างชไมเคิ่ลซึ่งเป็นกระบอกเสียงในแนวรับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปสู่ทริปเปิ้ลแชมป์ในประวัติศาสตร์ในปี 1999 และแชมป์ลีกในสมัยอื่นๆ เดวิด ซีแมน มือกาวชาวอังกฤษที่มัดผมหางม้าอันโด่งดังของไอ้ปืนใหญ่ ถึงแม้ว่ารายชื่อผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมจะมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่นี่คือ 10 อันดับมือกาวที่สมควรได้รับพื้นที่สปอตไลท์และสมควรที่จะเป็นหนึ่งในสิบผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก 10. เยนส์ เลห์มันน์ – อาร์เซน่อล: ผู้รักษาประตูชาวเยอรมันนั้นถือว่ามีช่วงเวลาที่ได้โลดแล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับผู้รักษาประตูคนอื่น ๆ ในลีก เขาลงสนามไปเพียง 146 เกมกับอาร์เซนอล แต่แน่นอนว่าสถิติของเขานั้นจะยังคงอยู่กับสโมสรไปอีกนานเลยล่ะ เลห์มันน์ถือสถิติที่เป็นผู้รักษาประตูเพียงคนเดียวที่ลงเล่นทั้งฤดูกาลโดยไม่แพ้เลย เขาอาจจะไม่ได้น่าไว้วางใจเท่ากับมือกาวระดับตำนานอย่างเดวิด ซีแมน แต่แน่นอนเลยว่าเขาโชว์ฟอร์มได้ดีในระยะเวลา 5 ฤดูกาลของเขากับปืนใหญ่ 9. แบรด ฟรีเดล – หลายสโมสร: ตำนานผู้รักษาประตูจากแดนมะกันเริ่มต้นอาชีพการเฝ้าเสาในพรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลในปี 1997 ตอนนั้นเขาถือเป็นคู่แข่งกับผู้รักษาประตูดีกรีทีมชาติอังกฤษอย่างเดวิด เจมส์เลยทีเดียว มือกาวทีมชาติสหรัฐยังเคยเฝ้าเสาให้กับท็อตแน่มและแอสตัน วิลล่าอีกด้วย เขาแขวนถุงมือในตอนอายุ 44 และยังเป็นถือสถิติเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ลงเล่นให้กับแอสตัน วิลล่าจนถึงวันนี้อีกด้วย อาชีพการเฝ้าเสาของเขาต้องหม่นหมองเล็กน้อยด้วยข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเขาเป็นผู้รักษาประตูที่มีความสม่ำเสมอในระดับที่ดี 8. โจ ฮาร์ท – หลายสโมสร: ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษรายนี้ถือเป็นกำแพงที่ผ่านได้ยากมากในช่วงพีคของเขา อดีตผู้รักษาประตูของแมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้นเป็นมือหนึ่งของทีมชาติอังกฤษมาหลายปีและได้ชื่อว่าเป็นตัวตายตัวแทนคนสุดท้ายของเดวิด ซีแมนอีกด้วย เขาสร้างชื่อในช่วงเวลาของเขาที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้ 2 สมัย แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของเขากับซิตี้นั้นต้องพังทลายลงไปเมื่อเป็ป กวาร์ดิโอล่าย้ายเข้ามากุมบังเหียนของเรือใบสีฟ้า 7. เอเดอร์สัน โมราเอส – แมนเชสเตอร์ ซิตี้: จอมหนึบชาวบราซิลถือเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในอังกฤษและในยุโรปมาตลอด 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา เขาถูกคว้าตัวเข้ามาเพื่อแทนที่ของเคลาดิโอ บราโว่เพื่อเสริมแผนการเล่นแบบทิกิ-ทากะในแบบที่เป็ปต้องการ…

Read More

พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่น่าดึงดูดเหล่านักเตะชื่อดังมากที่สุดในโลก มันถือเป็นแหล่งของเหล่าซุปเปอร์สตาร์และดาวรุ่งพุ่งแรงของเกาะอังกฤษ นักฟุตบอลทุก ๆ คนฝันถึงการที่จะได้ย้ายมาค้าแข้งในลีกอังกฤษ ในขณะที่มีเพียงไม่มากนักที่ได้รับโอกาสในฝันนั้นและเข้ามาสร้างชื่อให้กับตัวของพวกเขาเอง ในขณะที่ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่ถูกครอบงำด้วยความยากลำบากของการแข่งขันในลีก สโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและเชลซีนั้นตกเป็นเป้าใหญ่ในการถูกล้อเลียนในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะทั้งสองสโมสรนั้นได้ทำการผลาญเงินไปกับการซื้อตัวนักเตะสุดแพงแต่กลับโชว์ฟอร์มได้อย่างย่ำแย่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ถึงแม้ว่าทีมอย่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซน่อลก็อาจจะไม่ได้รับการยกเว้น และก็โดนล้อเลียนบ้างเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วตัวนักเตะที่พวกเขาซื้อมาร่วมทีมก็โชว์ฟอร์มได้ดีเลยทีเดียว ล่าสุดแล้วก็คงจะหนีไม่พ้นนักเตะเจ้าของแชมป์โลกทีมชาติฝรั่งเศสอย่างปอล ป็อกบา มิดฟิลด์เลือดน้ำหอมที่คอยคุมเกมในแดนกลางนั้นถูกเซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัวกว่า 90 ล้านปอนด์เพื่อฟื้นคืนชีพปิศาจแดง แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับลงเล่นเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่กับผีแดงและสารคดี ‘ป็อกเมนทารี่’ ก็ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก อีกหนึ่งตัวอย่างที่ยังมาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกนั่นก็คืออังเคล ดิ มาเรีย ปีกพ่อมดชาวอาร์เจนไตน์นั้นเป็นนักเตะตัวหลักของเรอัล มาดริดก่อนที่จะย้ายมาค้าแข้งให้กับปิศาจแดงด้วยค่าตัวกว่า 59 ล้านปอนด์ เขาไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับทีมได้และถูกขายไปไวพอ ๆ กับตอนที่เขาย้ายมาร่วมทีมเลย ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่กลายมาเป็นนักเตะที่ล้มเหลวในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราจะพาไปดู 10 นักเตะที่ได้รับความคาดหวังแต่กลับพังไม่เป็นท่ากัน นี่ถือเป็นเพียงบางส่วนของนักเตะที่ล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก 10. ปอล ป็อกบา – ยูเวนตุสไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงแม้ว่าห้องเครื่องจากแดนน้ำหอมจะมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมอยู่บ้างในช่วงเวลา 6 ปีของเขาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่สามารถที่จะเล่นให้คุ้มค่าตัวของเขาได้ ช่วงเวลาของเขากับสโมสรปิศาจแดงนั้นเต็มไปด้วยการโต้เถียงในทั้งเรื่องของพฤติกรรมและความเป็นมืออาชีพของเขา เอเยนต์ของเขาอย่างมิโน่ ไรโอล่านั้นเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการปั่นประเด็นและกระแสให้กับตัวนักเตะ ไปจนถึงเป็นตัวการที่ทำให้เขาไขว้เขว อย่างไรก็ตาม ตัวปอลเองก็ถูกมองว่าเป็นนักเตะที่ขาดความกระตือรือร้น ทัศนคติของเขาในการฝึกซ้อมและในสนามให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นทำให้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของเขากับทีม ว่าตัวเขานั้นไม่เคยมุ่งมั่นและอุทิศตนให้กับการพัฒนาของสโมสรและดูเหมือนจะสนใจแต่เรื่องของตัวเองอยู่เสมอ ป็อกบา ซึ่งกำลังจะย้ายไปยูเวนตุสแบบฟรี ๆ นั้นอาจจะเป็นนักเตะพรสวรรค์ระดับโลกในพรีเมียร์ลีก แต่การที่เขาไม่เต็มที่กับทีมนั้นทำให้เขาเป็นอีกดีลที่เราเรียกว่าล้มเหลวได้อย่างเต็มปาก 9. เฟอร์นันโด ตอร์เรส – ลิเวอร์พูลไปเชลซี ดาวยิงจากแดนกระทิงดุถือเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดในโลกในตอนที่เขายังพีค ๆ ในสมัยที่เขายังค้าแข้งอยู่กับหงส์แดง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็ว, ความคล่องตัวและความคมในการจบสกอร์ที่ถล่มประตูให้ลิเวอร์พูลมามากมาย จากนั้นเขาถูกเชลซีคว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ณ ขณะนั้นเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การย้ายตัวของเขานั้นไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังและเขาก็ตกลงมาเป็นตัวสำรองและโดนขายทิ้งในที่สุด ศูนย์หน้าทีมชาติสเปนดีกรีรางวัลดาวซัลโวในยูโร 2008 นั้นต้องพบกับเวลาที่ยากลำบากกับเชลซีเนื่องจากความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามาใส่ตัวเขา ซึ่งก็มีหลาย ๆ คนรู้สึกว่าความล้มเหลวของเขานั้นอาจเป็นผลมาจากคำสาปของนักเตะหมายเลข 9 ในถิ่นของสแตมฟอร์ด บริดจ์นั่นเอง 8. อันเดรย์ เชฟเชนโก้ – เอซี มิลานไปเชลซี เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ย้ายมาค้าแข้งในลอนดอนด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านปอนด์…

Read More

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เพียงเดือนเดียวหลังจากตลาดซื้อขาย (ฤดูหนาว) พอล สคัลลี่ ประธานสโมสร         กิลลิ่งแฮม เอฟซี สโมสรในลีกทูของอังกฤษ ลีกระดับที่ 4 ก็ได้ออกโรงมาพูดต่อพรีเมียร์ลีก ถ้อยคำแถลงการณ์ของเขา หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการโวยวายของเขาว่าถึงการใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่งของพรีเมียร์ลีกในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะ ในช่วงเวลาที่ลีกดิวิชั่นล่างบางทีมกำลังพยายามดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด คุณคงจะจำได้ว่าในช่วงเดือนมกราคมเดียวกันนั้น โบลตัน วันเดอร์เรอร์สต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลของสหราชอาณาจักรจากการเข้าสู่สภาวะล้มละลายเป็นครั้งที่สองในรอบสามปี คุณคงจะนึกขึ้นได้ว่าดาร์บี้ เคาน์ตี้ก็ตกอยู่ในสภาวะล้มละลายและเป็นผลให้ถูกตัดไปถึง 21 คะแนนซึ่งทำให้พวกเขาตกชั้นจากลีกแชมเปี้ยนชิพลงมาเล่นในลีกวันทันที ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะยังนึกถึงเบอร์รี่ เอฟซี หนึ่งในสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษถูกขับไล่ออกจากวงการฟุตบอลอังกฤษในปี 2020 อันเป็นผลมาจากปัญหาทางการเงินของพวกเขา เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญกับสโมสรที่ลงเล่นในลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ เหล่าสโมสรที่ใช้เงินมหาศาลอย่างบ้าคลั่งเพื่อซื้อนักเตะและสตาฟฟ์จากสโมสรเล็กๆ เหล่านี้และกำลังทำลายพวกเขาอย่างรุนแรง ตัวเลขสุดบ้าคลั่งเบื้องหลังการใช้จ่ายในพรีเมียร์ลีก ในตลาดการซื้อขายช่วงเดือนมกราคม สโมสรในพรีเมียร์ลีกใช้เงินรวมกันในตลาดซื้อขายไปกว่า 295 ล้านปอนด์ นี่ถือเป็นจำนวนเงินใช้จ่ายที่สูงที่สุดในตลาดซื้อขายช่วงฤดูหนาวในลีกอาชีพทั่วยุโรป ที่ยิ่งน่าสนใจมากไปกว่านั้น ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกได้ใช้เงินไปกับการซื้อขายทิ้งห่าง 5 ลีกระดับท็อปไปมากโขเลยล่ะ จำนวนเงินกว่า 5 พันล้านปอนด์ในตลาดซื้อขายของพวกเขานั้นเป็นจำนวนเงินมากกว่า 10 เท่าที่ลีกอื่นๆ ใช้จ่ายในช่วง 10 ปีหลัง ปัจจัยหลักของตัวเลขนี้คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งเป็นคนใช้เงิน 1 พันล้านปอนด์และบางตัวก็ไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการรับเสียงชื่นชมในเกมฟุตบอลแบบใดแบบหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษหรือในยุโรป แต่ยังทำหน้าที่สร้างตลาดการซื้อขาย โดยเฉพาะในอังกฤษกับทีมที่ต้องดิ้นรนอีกด้วย นักเตะอย่างพอล ป็อกบา, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, เจดอน ซานโช่, โรเมลู ลูกากู, อังเคล ดิ มาเรียและอ็องโตนี่ มาร์กซิยาลได้ก้าวเข้ามาสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดด้วยค่าตัวรวมกันมากกว่า 500 ล้านปอนด์ ในตอนนั้น ค่าตัวของป็อกบาที่ราคา 89 ล้านปอนด์นั้นถือเป็นการทำลายสถิติค่าตัวสูงสุด ในขณะที่ค่าตัวของแม็คไกวร์ยังถือเป็นการทำลายสถิติค่าตัวนักเตะในตำแหน่งกองหลังอีกด้วย ตัวเลขดังกล่าวก็ดูน่าเกรงขามไม่แพ้ทีมอย่างเชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้และแม้แต่อาร์เซนอลที่ยังไม่เป็นที่สนใจของสื่อ แต่พวกเขาก็ได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลสำหรับการซื้อตัวนักเตะในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นเดียวกัน ตัวเลขการซื้อตัวในตลาดช่วงเดือนมกราคม 2022 ถึงแม้ว่ามันจะไม่แฟร์ที่จะเรียกร้องให้สโมสรต่าง ๆ ไม่ควรทำในสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเพื่อความก้าวหน้าในสถานะของพวกเขาในวงการฟุตบอลและหาเงิน – ฟุตบอลคือธุรกิจ ท้ายที่สุดแล้ว – มันก็ไม่แฟร์ยิ่งกว่าในการที่ “เกมของทุกคน” ไม่ใช่เกมของทุกคนอีกต่อไป เพราะมีบาง “คน” ที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้เพราะคนอื่นบางคนต้องการใช้ทรัพยากรของพวกเขาเพื่อทำให้พวกเขาตกต่ำลง ลิเวอร์พูลใช้เงินกว่า 50 ล้านปอนด์ในการเซ็นสัญญานักเตะเพียงคนเดียวอย่างหลุยซ์ ดิอาซ…

Read More

หากจะมีทีมใดในพรีเมียร์ลีกที่ต้องเผชิญกับการโดนถากถางจากเหล่านักวิจารณ์มากหน้าหลายตาอย่างไม่หยุดหย่อนแล้วล่ะก็ นั่นก็จะต้องเป็นท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สอย่างแน่นอน เชื่อได้เลยว่าถ้าหากคุณตัดสเปอร์สออกจากการเป็นผู้ชิงแชมป์ในฤดูกาลหน้าก็จะไม่มีใครโกรธคุณเลย เพราะฟอร์มที่น่าผิดหวังตลอดมาของพวกเขา สโมสรจากลอนดอนเหนือนั้นยังไม่เคยมีโอกาสชูถ้วยแชมป์อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008 ในช่วงนั้น เลสเตอร์ ซิตี้ก็ผงาดขึ้นมาสร้างความตกตะลึงให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ แถมคู่ปรับร่วมเมืองของพวกเขานั้นก็ยังก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ลีกและแชมป์รายการอื่น ๆ อีกนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นที่น่าสังเกตว่าในบรรดา 6 สโมสรชั้นนำ ท็อตแน่มเป็นทีมเดียวที่ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกหรือเอฟเอ คัพมาครองได้นับตั้งแต่ปี 1992 สถิติเหล่านี้และสถิติอื่น ๆ เป็นประเด็นที่นักวิจารณ์มักจะหยิบบกขึ้นมาในตอนที่มีการพูดคุยกันเรื่องสถานะของท็อตแน่มในวงการฟุตบอลอังกฤษ สเปอร์สล้มเหลวในหลายๆ ด้าน นอกเหนือจากยุคของเร็ดแน็ปป์ ซึ่งถือเป็นยุคที่ดีที่สุดของสโมสรในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาแล้ว เมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ได้สร้างความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาบ่มเพาะนักเตะดาวดังอย่างแฮร์รี่ เคนและเอริค ดายเออร์ นักเตะทั้งสองยังคงอยู่กับสโมสร แต่อย่างไรก็ตาม โชคร้ายที่เขาไม่สามารถใช้ฟอร์มอันน่าทึ่งในสนามเปลี่ยนให้เป็นถ้วยแชมป์ได้ เขาพาสโมสรไปถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างสุดยอด ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ยุค 80 จากนั้นก็เป็นโชเซ่ มูรินโญ่ “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” ผู้จัดการทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชนะต่อเนื่องก็มาถึง เขาได้ย้ายมาร่วมทีมหลังจากการที่โดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไล่ออกและถูกแทนที่โดยโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ความตื่นเต้นก็ลอยอบอวลจากการที่สโมสรแต่งตั้งผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสอย่างนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ซึ่งโชว์ฟอร์มได้ดีมากกับวูล์ฟแฮมป์ตันและมีส่วนในการพาพวกเขา​ให้ขึ้นไปเป็นทีมระดับท็อปเท็นอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เขาล้มเหลวในการสร้างความประทับใจให้กับสโมสรจากลอนดอนเหนือและก็ถูกไล่ออกอย่างรวดเร็ว การแต่งตั้งอันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือเชลซีมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นถูกมองว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของสโมสร ดังนั้นเขาจึงพาสโมสรจากที่จมอยู่ก้นบึ้งแห่งความล้มเหลวไปสู่ท็อปโฟร์ สเปอร์สพัฒนาขึ้นภายใต้การคุมทีมของคอนเต้ได้อย่างไร ในตอนที่ผู้จัดการทีมชาวอิตาลีย้ายเข้ามาสู่สโมสรนั้น ทางสโมสรถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ หนึ่งในหลาย ๆ นัดที่พวกเขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ที่สุดคือเกมนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป 0-3 ฟอร์มในนัดนั้นดูน่าสลดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อคุณตระหนักถึงความจริงที่ว่าทีมที่พวกเขาแพ้นั้นมีฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 40 ปีเลยทีเดียว ก่อนที่จะแต่งตั้งคอนเต้เข้ามาคุมทีม ทางสโมสรมีปัญหาในทุกหนแห่งในสนาม พวกเขาเสียประตูง่ายๆ และในแดนกลางก็ร่อแร่ พวกเขามักจะพึ่งพาฟอร์มของคู่หูอย่างแฮร์รี่ เคนและซน ฮึง มิน ในตอนแรกที่คอนเต้เข้ามา สิ่งแรกที่เขาทำคือทำให้ทีมมั่นคงโดยปรับปรุงเรื่องสภาพความฟิตของทีม จากนั้นเขาก็หยุดการเสียประตูง่าย ๆ เขายังดึงเอาฟอร์มที่ดีที่สุดของซอน ฮึง มินออกมาอีกด้วย                        ในขณะเดียวกันก็เซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะใหม่เข้ามาในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการกระตุ้นการแข่งขันภายในทีมเพื่อให้ติดท็อปโฟร์ การมาของคูลูเซฟสกี้และเบนตันคูร์จากยูเวนตุสและการหล่อหลอมทีมนำไปสู่การทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำและมีโอกาสมากขึ้นที่จะก้าวไปข้างหน้า สเปอร์สจะจัดการกับสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นได้อย่างไร? สโมสรมีงานหนักอย่างแน่นอนในช่วงซัมเมอร์นี้ เหล่าผู้บริหารของสโมสรได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุนคอนเต้ในตลาดซื้อขายนี้แล้ว บริษัทผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่วนใหญ่อัดฉีดเงินถึง 150 ล้านปอนด์ให้กับทางสโมสรเพื่อคว้าตัวนักเตะที่อยู่ในเป้าหมาย สโมสรได้ซื้อมิดฟิลด์ทีมชาติมาลีระดับคุณภาพอย่างอีฟ บิสซูม่า รวมถึงอีวาน…

Read More

ไม่มีข้อกังขาแน่นอนหากเราจะพูดว่าเป็ป กวาร์ดิโอล่า เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอย่างแน่นอน สถิติของเขามันฟ้องอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาสามารถเสกความสำเร็จได้ในทุกๆ ที่ๆ เขาไปคุมทีม ที่บาร์เซโลน่า เขาได้สร้างฟุตบอลสไตล์ที่ใคร ๆ ก็อยากรับชม และทำให้สไตล์ ‘ติกี้ ตาก้า’ โด่งดังไปทั่วโลก ในขณะที่เขาครองลีกสเปนและเป็นหนึ่งในสโมสรแนวหน้าของยุโรปด้วย ที่บาเยิร์น มิวนิค เขาก็ทำแบบเดียวกันโดยการทำลายสถิติหลายรายการและแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของเขากับบาร์เซโลนาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การลงเล่นใน ‘ลีกที่ยากที่สุดในโลก’ กวาร์ดิโอล่าได้มาวาดลวดลายในพรีเมียร์ลีกและยังคงโชว์เครื่องหมายการค้าของเขาที่ทำลายสถิติมากมายอีกครั้ง นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาคุมทีมในปี 2016 เขาได้พาเรือใบสีฟ้าแล่นฉิวในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งพวกเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของห่วงโซ่อาหารและปล่อยให้สโมสรอื่นไล่หลัง แชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 สมัยในฤดูกาลที่ผ่านมานั้นหมายความว่าตอนนี้ ซิตี้คว้าแชมป์ลีกได้ 4 สมัยในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากวาร์ดิโอล่าจะหาประโยชน์ได้มากมาย แต่คำวิจารณ์ของเขาส่วนใหญ่มาจากความล้มเหลวของเขาในฟุตบอลระดับยุโรป พูดก็พูดเถอะ กวาร์ดิโอล่าได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกเพียง 2 สมัยเท่านั้นในอาชีพการคุมทีมของเขา กวาร์ดิโอล่าคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัยกับบาร์เซโลน่า ในปี 2009 และอีกครั้งเมื่อปี 2011 นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาชูถ้วยบิ๊กเอียร์ เนื่องจากเขาคว้าน้ำเหลวในรายการนี้กับบาเยิร์น มิวนิคและซิตี้ นับตั้งแต่แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2011 ซึ่งเป็นสมัยที่ 2 ของเขากับบาร์เซโลน่าแล้ว เขาก็ไม่เคยได้แชมป์รายการนี้อีกเลย เขาเคยเข้าใกล้ที่สุดในปี 2021 ซึ่งเขาพ่ายให้กับเชลซีในนัดชิงชนะเลิศ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้ กวาร์ดิโอล่าใช้เวลาอยู่ที่สโมสรแห่งนี้มา 6 ปีแล้ว – ถือเป็นสโมสรที่เขาอยู่นานที่สุดอีกด้วย – แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงล้มเหลวในการพาเรือใบคว้าแชมเปี้ยนส์ลีกสมัยแรกของสโมสรอยู่ดี  เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีเงินเหลือเฟือให้ใช้ได้อย่างไม่จำกัด แต่เขาก็ยังล้มเหลว ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจทางการเงินที่ดีที่สุดในยุโรปก็ตาม ทั้งหมดข้างต้นทำให้เกิดคำถาม ถึงเวลาแล้วรึยังที่ซิตี้ต้องบอกลากับผู้จัดการทีมชาวสเปน ถ้าเขาไม่สามารถพาเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้หลังจากพยายามมาแล้วถึง 7 ฤดูกาล ซิตี้ใกล้เคียงเอามาก ๆ แล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเสียที เป็นเรื่องน่าขันที่จะคิดว่าในทศวรรษที่ผ่านมา ทุกสโมสรที่กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมนั้นได้ลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกทุกฤดูกาลในฐานะทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์มาเสมอ ผู้จัดการทีมชาวสเปนอาจจะครองลีกได้ในทุกๆ ลีก แต่ความสามารถในการใช้แท็คติกของเขามักทำให้เขา ‘คิดมาก’ มากเกินไป ตามที่แฟนๆ หลายคนเคยบอกเอาไว้ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ความอกหักนั้นมีมากกว่าความผิดหวัง อันที่จริงแล้วในปี 2020 กวาร์ดิโอล่าไม่เคยพาเรือใบสีฟ้าผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศในแชมเปี้ยนส์ลีกได้เลย…

Read More

การย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของคัลวิน ฟิลลิปส์นำมาซึ่งเรื่องราว 2 เรื่องสำหรับแฟนบอลเดนตายของลีดส์ ตัวเลือกของเขานั้นชัดเจน อยู่กับสโมสรที่คุณรักหรือย้ายไปร่วมทีมที่จะพาคุณได้แชมป์จนกลายเป็นตำนาน ถึงแม้ว่าดูเหมือนว่านักเตะได้เลือกอย่างหลังแล้วและน่าสนใจที่จะเห็นว่าเขาจะมีตัวตนในถิ่นเอติฮัดอย่างไร รายงานหลายแหล่งทั้งหมดในอังกฤษได้ยืนยันว่านักเตะวัย 26 ปีจะรับเงินก้อนโตเพื่อเข้ามาเป็นลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เรือใบสีฟ้าจะจ่ายค่าตัวเริ่มต้นที่ 45 ล้านปอนด์ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านปอนด์ได้ในภายหลัง แน่นอนว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้ฉลองชัยอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกเขาต้องแย่งชิงกับคู่แข่งหลายทีมเพื่อคว้ามิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษคนนี้มา ถึงแม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลสำหรับนักเตะที่จะเลือกพวกเขาเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรในตอนนี้ ในตอนที่จบฤดูกาลที่แล้ว ฟอร์มการเล่นของแฟร์นันดินโญ่นั้นแทบจะไม่เป็นที่ต้องการเลยและด้วยการที่โรดรี้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับเพียงคนเดียว ก็มั่นใจได้แล้วว่าเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะเอาตัวฟิลลิปส์เข้ามาแทนที่มิดฟิลด์ชาวบราซิลที่ย้ายออกไป ในตอนที่ตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์เปิด ทุกคนรู้ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะพยายามและเสริมความแข็งแกร่งไปในตำแหน่งไหน พวกเขาลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาลที่แล้วโดยไม่มีกองหน้าขนานแท้เลย และคุณก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ในเกมสำคัญบางเกมไป เป๊ปจี้ประเด็นนี้ด้วยการเซ็นสัญญาคว้าตัวเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าชาวนอร์เวย์ที่น่าเกรงขามจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วยค่าตัว 51 ล้านปอนด์ พวกเขายังเห็นความจำเป็นในการหาตัวแทนของเฟอร์นันดินโญ่อีกด้วย แต่ก็จะต้องแทนที่ด้วยนักเตะอังกฤษรุ่นใหม่ (เพื่อเพิ่มโควต้านักเตะอังกฤษ) และใครบางคนที่มีเทคนิคสูง ทำไมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ถึงต้องคว้าตัวคัลวิน ฟิลลิปส์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฟิลิปส์นั้นเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับที่เก่งที่สุดในประเทศ ความตามตื้อ, ความนิ่มนวล, ความแข็งแกร่งและสายตาการจ่ายบอลอันเฉียบคมทำให้เขาอยู่ในกลุ่มนักเตะที่ดีที่สุดในลีก เขามักจะตกเป็นเป้าหมายของสโมสรชั้นนำหลายสโมสรอยู่เสมอ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในตำแหน่งของเขา สำหรับราคาที่เหมาะสม ลีดส์ก็พร้อมที่จะขายเขาอยู่แล้ว ฟิลลิปส์เผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้จอมอหังการเป็นครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกลายมาเป็นเกมพรีเมียร์ลีกสุดคลาสสิกในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด มันเป็นเกมระหว่างอาจารย์ดวลกับศิษย์ เป็ป กวาร์ดิโอล่าได้บอกหลายครั้งว่าเขาติดหนี้จากความสามารถในการคุมทีมของเขาจากมาร์เซโล่ บิเอลซ่าที่มีเมตตา ผู้จัดการทีมทั้งสองคนมีแนวทางในการทำทีมแบบเดียวกันอย่างไม่น่าแปลกใจ บิเอลซ่าก็เหมือนกับอดีตพี่เลี้ยงของเป็ป จากการชื่นชอบในการการครองบอลที่เหนียวแน่นและควบคุมเกมตั้งแต่ต้นจนจบ ในเกมนั้นที่เอลแลนด์ โร้ด ฟิลลิปส์ครองตำแหน่งนักเตะที่ครองบอลได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเกมนั้นและแทบจะอยู่ในทุกๆ ที่ในสนาม ตามความเป็นจริงแล้ว มีเพียงโรดรี้เท่านั้นที่แย่งบอลในแดนกลางได้มากกว่ามิดฟิลด์วัยอายุ 26 ปีในเกมนั้นเท่านั้น เขายังโดดเด่นในเกมด้วยการจ่ายบอลระยะไกลซึ่งเกือบจะสมบูรณ์แบบ ในเกมที่มีนักเตะจอมวางบอลอย่างเควิน เดอ บรอยน์ ฟิลลิปส์ก็ยังโดดเด่นและได้รับเสียงชื่นชมมากมายหลังจบเกม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ทิ้งเกมนั้นเลย ดูเหมือนว่าเขากำลังคัดเลือกตัวเพื่อย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ยังไงยังงั้นเลยล่ะ พลังและความว่องไวของเขาไม่เป็นสองรองใครเมื่อลีดส์บุกไปเอาชนะเรือใบถึงถิ่นเอติฮัดด้วยชัยชนะ 2-1 คัลวิน ฟิลลิปส์เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเขามีประสบการณ์ในการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกและยังมีความสามารถในการเปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เขายังสามารถหาช่องจ่ายบอลได้ดีอีกเช่นกัน ซึ่งเป็นลักษณะของนักเตะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ชื่นชอบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซิตี้เป็นฝ่ายวินในดีลนี้ เขาจะปรับตัวเข้ากับสโมสรได้อย่างไร เป็นความรู้ทั่วไปที่ปรัชญาฟุตบอลของเป๊ปนั้นไม่ได้เหมาะกับนักเตะทุกคน ฟุตบอลประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการครองอย่างแน่นหนาและการจ่ายบอลเร็วในแบบทรงสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม บางครั้งสิ่งนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักเตะที่จะปรับตัว ดังนั้น เป๊ปจึงช่วยด้วยการหาตัวนักเตะที่มีพรสวรรค์ด้านเทคนิคอยู่เสมอ สำหรับคัลวิน ฟิลลิปส์ การปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในแมนเชสเตอร์…

Read More

ตลาดซื้อขายกำลังดุเดือดและสโมสรในพรีเมียร์ลีกก็กำลังยุ่งอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติเหมือนกับทุกฤดูกาลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้บรรลุเป้าหมายในการคว้าตัวดาวเตะจอมถล่มประตูอย่างเออร์ลิ่ง ฮาลันด์จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ไปแล้ว ในขณะที่ลิเวอร์พูลก็ได้ตัวดาวยิงของเบนฟิก้าอย่างดาร์วิน นูนเญซเป็นที่เรียบร้อย ในทางกลับกัน นักเตะที่ย้ายออกจากพรีเมียร์ลีกก็มีไม่น้อย พร้อมกับยังมีอีกหลายคนที่กำลังมองหาสโมสรใหม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่ซาดิโอ มาเน่ย้ายจากลิเวอร์พูลไปซบบาเยิร์น มิวนิคนั้นจะเป็นดีลของนักเตะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกที่ย้ายออกในช่วงฤดูร้อนนี้ ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันและส่วนหนึ่งของธุรกิจที่แฟน ๆ เชลซีอยากจะลืม โรเมลู ลูกากู กองหน้าชาวเบลเยี่ยมก็หวนคืนสู่อดีตทีมอย่างอินเตอร์ มิลานไปแล้ว เรายังได้เห็นการย้ายออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมใหญ่และเราดูที่รายชื่อนักเตะระดับท็อป        ที่อาจจะแยกทางกับสโมสรต้นสังกัดของพวกเขา นอกเหนือจากในอังกฤษ ตลาดซื้อขายปัจจุบันนี้จะได้เห็นการย้ายทีมภายในลีกมากมายภายในพรีเมียร์ลีกและเราจะมาเจาะลึกความเป็นไปได้ทั้งหมดกัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ การกลับคืนสู่ถิ่นเก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ในช่วงซัมเมอร์ที่แล้วนั้นเต็มไปด้วยความหวังและการมองโลกในแง่บวก การจบด้วยรองแชมป์ในพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลก่อนและแถมยังทะลุไปถึงรองชิงชนะเลิศยูโรป้านั้นทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าการมาของโรนัลโด้จะเป็นการเติมกระสุนในการพาสโมสรกลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้ง เมื่อเร่งความเร็วมาถึงปัจจุบันและมันกลับไม่ได้เป็นไปตามแผนเลย ถึงแม้ว่าจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แถมยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลแมตต์ บัสบี้ มันก็เป็นฤดูกาลที่อยากจะลืมเลือนสำหรับแฟน ๆ ปิศาจแดงเนื่องจากพวกเขาจบฤดูกาลด้วยการมีแต้มที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ตอนนี้มีรายงานมาว่าดาวยิงวัย 37 ปีนั้นไม่มีความสุขกับการที่ยูไนเต็ดขาดความทะเยอทะยานในตลาดซื้อขายในซัมเมอร์นี้ เนื่องจากบอสคนใหม่อย่างเอริค เทน ฮากยังไม่สามารถคว้าตัวใครมาร่วมทีมได้เลย เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานมาว่าบาเยิร์น มิวนิคถอยทัพในการเดินหน้าคว้าตัวโรนัลโด้ อดีตแข้งรีล มาดริดและยูเวนตุสยังมีข่าวเชื่อมโยงกับตัวนักเตะ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยเอามากๆ ในส่วนของเมเจอร์ลีกซอคเกอร์ในอเมริกาก็ได้รับการขนานนามว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นไปได้สำหรับนักเตะดาวดังชาวโปรตุเกส แต่ด้วยความทะเยอทะยานของเขาที่จะลงแข่งขันในระดับสูงสุดอยู่เสมอ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะคิดอย่างนั้น เว้นเสียแต่ว่าเขาลดค่าแรงลงอย่างมาก ไม่มีสโมสรไหนสามารถจ่ายค่าเหนื่อยเขาได้ ยกเว้นเปแอสเชและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ไม่ต้องการเขาแล้ว ราฟินญ่า หลังจากที่สนุกกับฤดูกาล 2021/22 พร้อมกับฟอร์มสุดน่าประทับใจกับลีดส์ ปีกชาวบราซิลกลายมาเป็นนักเตะที่เนื้อหอมโดยมียักษ์ใหญ่ให้ความสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบาร์เซโลน่า, เชลซี, ท็อตแน่มและอาร์เซนอลต่างพากันแสดงความสนใจในตัวเขา มีรายงานว่านักเตะวัย 25 ปีอยากที่จะย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า แต่ก็มีโอกาสที่เขาอาจจะได้ย้ายไปร่วมทีมร่วมพรีเมียร์ลีกเช่นเดียวกัน ลีดส์ต้องการค่าตัวอย่างน้อย 60 ล้านปอนด์และสถานการณ์ทางการเงินของบาร์เซโลน่าก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่มีเงินพอกับค่าตัวระดับนั้น กลับกัน มันอาจจะจบลงด้วยการแย่งชิงกันระหว่างทีมในลอนดอนอย่างท็อตแน่ม, อาร์เซนอลและเชลซี ในขณะที่เขียนอยู่นั้น อาร์เซนอลกำลังเป็นตัวเต็งในการได้ลายเซ็นของราฟินญ่า แต่ยังคงมีความเห็นต่างจากทางลีดส์อยู่บ้างในแง่ของการประเมินค่าตัวของนักเตะรายนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เนื่องจากการมาถึงของนักเตะตัวรุกอีกคนในทีมซิตี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่งอาจจะพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นที่ต้องการในสโมสรแห่งนี้อีกแล้ว ปีกความเร็วสูงวัย 27 ปีเหลือสัญญาอีกเพียง 1 ปีเท่านั้นและได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายออกจากถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยมแล้ว เนื่องจากเขายังคงเป็นผู้เล่นที่ทำกำไรได้และเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษอีกด้วย ซิตี้จะไม่ปล่อยให้เขาไปในราคาถูกอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่าจึงจะต้องยอมปล่อยให้สเตอร์ลิ่งย้ายออกจากทีมในซัมเมอร์นี้ แทนที่จะเสียเขาไปฟรี ๆ ในซัมเมอร์หน้า…

Read More

สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นหนึ่งในเรื่องจากบ้านของฟุตบอลอย่างเกาะอังกฤษ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลจริง ๆ ไม่ใช่แค่จากมุมมองของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่จากมุมมองคนทั่วไปด้วย อดีตราชันย์แห่งอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ ปัจจุบันตกอยู่ในห้วงเหวลึกตลอดกาลของความห่วยแตกในเชิงระบบ พวกเขาตกลงมาจากจุดสูงสุดมาไกลมากจนยากเกินกว่าที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะลึกลงไปอีกซักแค่ไหน นับตั้งแต่ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันวางมือจากวงการ สโมสรคว้าแชมป์ไปเพียง 5 รายการเท่านั้น ซึ่งไม่มีถ้วยรางวัลไหนที่เป็นที่ถ้วยใหญ่เลย นั่นคือ 5 แชมป์ในรอบเกือบทศวรรษ มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เพียง 5 รายการเป็นสิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทั่วไปยากที่จะภาคภูมิใจไปกับมัน แน่นอนว่าความล้มเหลวก็น่าปวดหัวแล้ว ตั้งแต่ปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้จ้างผู้จัดการมาแล้วถึง 5 คน หากรวมราล์ฟ รังนิคก็จะเป็น 6 คน ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามูรินโญ่ถือว่าทำผลงานได้ที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นความจริงด้วยที่ว่าเขาเป็นคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกบีบคั้นมากที่สุดเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องรับมือกับฟอร์มที่สุดแสนจะห่วยแตกในช่วงทศวรรษนี้        แต่ฤดูกาลที่แล้วถือว่าเป็นภาพรวมที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับสโมสร สโมสรจบด้วยอันดับที่ 6 แบบ   ‘น่าสมเพช’ มีประตูได้เสียเป็นศูนย์ และยังโดนคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ยำเละอีกด้วย ฤดูกาลที่ผ่านมาถือเป็นการทดสอบความเป็นจริงที่โหดร้ายสำหรับแฟนๆ ที่มีความหวังเป็นอย่างมากในฤดูกาลหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่พวกเขาจบรองแชมป์ รวมถึงเข้าชิงยูโรป้าลีกอีกด้วย นี่ยังไม่นับความตื่นเต้นที่เกิดจากการกลับมาของซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้และการคว้าตัวนักเตะพรสวรรค์ระดับโลกอย่างราฟาเอล วารานและจาดอน ซานโช่อีกด้วย ย้อนกลับไปในวันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นป้อมปราการแห่งนักเตะพรสวรรค์และเป็นที่เกรงขามทั่วยุโรปและดึงดูดนักเตะระดับพรสวรรค์ที่ดีที่สุด แล้วอะไรคือสาเหตุของการตกต่ำครั้งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ยิ่งใหญ่? ที่สำคัญไปกว่านั้น ทำไมเหล่านักเตะถึงไม่มองว่าโอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นจุดหมายปลายทางที่คู่ควรในทุกวันนี้แล้วล่ะ? พวกเรามาดูสาเหตุที่เป็นไปได้กันเถอะ การซื้อตัวสุดสิ้นเปลือง นับตั้งแต่ปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ใช้เงินซื้อตัวไปมากกว่า 1 พันล้านปอนด์และอีกมากกว่า 2 พันล้านปอนด์ในการจ่ายค่าเหนื่อยของทั้งนักเตะและทีมงานสตาฟฟ์ นั่นถือเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในวงการฟุตบอล แถมยังเป็นการใช้จ่ายที่สุดจะฟุ่มเฟือยเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับระดับความธรรมดาของสโมสรในปัจจุบัน นักเตะอย่างพอล ป็อกบาและอังเคล ดิ มาเรียทำให้สโมสรต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล ในขณะที่ฟอร์มของพวกเขากลับทำให้สโมสรต้องเจ็บแสบหลังจากที่พวกเขาย้ายออกไป การย้ายตัวที่สรุปการทำธุรกิจอย่างเลวร้ายนี้ได้ดีที่สุดก็คือการที่พอล ป็อกบาได้ย้ายกลับไปอยู่กับยูเวนตุสเป็นแบบฟรี ๆ ถึงสองครั้ง เมื่อคุณคิดถึงคำว่า ‘ฟุ่มเฟือย’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องเข้ามาอยู่ในหัวอย่างแน่นอน ทางสโมสรประมาททางการเงินมากจนสโมสรอื่นๆ ในยุโรปมองว่าพวกเขาเป็นบ่อเงินเพื่อชุบชีวิตการเงินของพวกเขาดังที่เราเห็นได้ชัดเจนในมหากาพย์การซื้อตัวเฟรงกี้ เดอ ยอง สโมสรยังจ่ายเงินให้นักเตะบางคนมากจนเกินไป โดยเฉพาะแฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังชาวอังกฤษโชว์ฟอร์มได้เล็กน้อยมากในการตอบแทนความมั่นใจที่สโมสรมอบให้เขาด้วยการทำลายสถิติโลกสำหรับกองหลัง เขาถูกมอบให้เป็นกัปตันทีมในทันทีและฟอร์มของเขานั้นต่ำกว่ามาตรฐานมากสำหรับผู้เล่นที่มีค่าตัวกว่า 80 ล้านปอนด์ค่าเหนื่อยของนักเตะแมนเชสเตอร์…

Read More

ปัจจุบัน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์สได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ‘บิ๊ก 6’ ที่มีชื่อเสียงในพรีเมียร์ลีก เรื่องที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิจารณ์นั้นวิจารณ์มากที่สุดก็คือการที่สโมสรในลอนดอนเหนือนั้นไม่มีถ้วยรางวัลที่วาววับเพื่อแสดงถึง “ความพยายาม” ทั้งหมดของพวกเขาในทศวรรษที่ผ่านมา สมาชิกของ ‘บิ๊ก 6’ นั้นประกอบไปด้วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, ท็อตแน่ม, อาร์เซน่อลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แฟนๆ ของสเปอร์สนั้นไม่สนใจที่จะรับรู้ว่าสโมสรที่พวกเขาเชียร์นั้นประสบความสำเร็จน้อยที่สุดถ้าเทียบกับสโมสรอื่นที่เอ่ยชื่อขึ้นมาข้างต้นในแง่ของถ้วยรางวัลที่เคยได้ ครั้งสุดท้ายที่ท็อตแน่มคว้าแชมป์ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 และแฟนบอลของสเปอร์สก็ไม่อยากที่จะจดจำอีกด้วยว่ามันเป็นถ้วยรางวัลรายการลีกคัพ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางสโมสรเองก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศรายการถ้วยต่างๆ เพียงหยิบมือและพลาดโอกาสในการคว้าแชมป์ในทุกรายการที่เข้าชิง ล่าสุดก็คือรายการลีกคัพเมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว โชคร้ายที่นัดชิงชนะเลิศนัดนั้นถูกกลบด้วยกระแสการไล่ออกของผู้จัดการทีมอย่างโชเซ่ มูรินโญ่ นอกจากนี้ ทางสโมสรยังเกือบจะคว้าแชมป์ยุโรปในปี 2018 ภายใต้การคุมทีมโดยผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่แฮร์รี่ เร้ดแนปป์อย่างเมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ สโมสรทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อย่างยอดเยี่ยมและใครจะลืมการคัมแบ็คสุดน่าเหลือเชื่อในเกมกับอาแจ็กซ์ได้กันล่ะ น่าเสียดายที่ทีมขาดประสบการณ์เวทียุโรปและได้รับบทเรียนจากคู่ปรับจากอังกฤษอย่างลิเวอร์พูล ทำไมท็อตแน่มควรถูกมองว่าเป็นสโมสรใหญ่ เมื่อเราพูดถึงสโมสรใหญ่ บริบทของการพูดคุยนั้นก็มีความสำคัญ ตัวอย่างเช่นเราสามารถเรียกแอสตัน วิลล่าว่าเป็นสโมสรใหญ่ได้ง่ายๆ เนื่องจากสโมสรแห่งนี้เคยคว้าแชมป์ยุโรปมาครองแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม คุณจะไม่เอาวิลล่าอยู่เหนือท็อตแน่มในบริบทใด ๆ ก็ตามในปัจจุบันนี้ เมื่อความคิดของยูโรเปี้ยนซูเปอร์ลีกเกิดขึ้น หลายคนสงสัยว่าทำไมสเปอร์สถึงถูกรวมเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย แต่ผู้จัดรู้ดียิ่งกว่า สเปอร์สมีโครงสร้างเพดานค่าเหนื่อยที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ในลีกและได้รับเงินสูงสุดในการขายตัวนักเตะชาวอังกฤษอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นไปตามทั้งหมดที่กล่าวมา แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยในความทะเยอทะยานของสเปอร์สและตั้งฉายาพวกเขาว่าเป็นสโมสรเล็ก ๆ ในสนามเหย้าที่สวยงาม ดังนั้น นี่จึงทำให้เกิดคำถามว่าอะไรคือเกณฑ์ที่ทำให้สโมสรอย่างท็อตแน่มนั้นเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพล แฟนบอล: นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการคัดเลือกและจัดประเภทสโมสรชั้นนำอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่ในอังกฤษ แต่ยังรวมถึงสโมสรทั่วโลกก็ใช้เกณฑ์นี้เป็นตัวตัดสินด้วยเช่นกัน ด้วยความช่วยเหลือจากการจัดการระดับโลกโดยเดเนี่ยล เลวี่ ท็อตแน่มได้สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาและสามารถขยายแบรนด์ของพวกเขาเองไปได้ทั่วโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณภาพของนักเตะในสโมสรนั้นสามารถช่วยขายแบรนด์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอลที่ติดตามสโมสรได้ เช่นเดียวกับที่แฮร์รี่ เคนได้สร้างเส้นทางในอาชีพการค้าแข้งของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น (กับสโมสร) และกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์และฮีโร่ระดับโลกสำหรับคนรุ่นต่อไป เมื่อพูดถึงฮีโร่ เราจะลืมซอน ฮึง มินไปได้ยังไงกันล่ะ นักเตะคนที่เอาแฟนบอลเกาหลีใต้ทั่วประเทศมาสู่ถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลนอย่างแท้จริง ความจุของสนาม: ความจุของสนามของสโมสรใดๆ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตามนั้นมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของพวกเขา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีสนามเหย้ที่ใหญ่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก ส่วนสนามใหม่ของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์สนั้นเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษด้วยความจุมากกว่า 62,000 ที่นั่ง ความจุของสนามเหย้าของสโมสรนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพื้นที่สำหรับแฟนๆ ให้เข้าร่วมสนุกกับสโมสรมากขึ้นอีกด้วย มันยังน่าสนใจสำหรับคุณอีกด้วยที่จะทราบว่าสนามกีฬาขนาดใหญ่นั้นสามารถใช้ประโยชน์สำหรับงานบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับสโมสรได้อีกด้วย การเงิน: นี่อาจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลยล่ะ จากในส่วนอื่น…

Read More