Author: admin
หากจะมีทีมใดในพรีเมียร์ลีกที่ต้องเผชิญกับการโดนถากถางจากเหล่านักวิจารณ์มากหน้าหลายตาอย่างไม่หยุดหย่อนแล้วล่ะก็ นั่นก็จะต้องเป็นท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สอย่างแน่นอน เชื่อได้เลยว่าถ้าหากคุณตัดสเปอร์สออกจากการเป็นผู้ชิงแชมป์ในฤดูกาลหน้าก็จะไม่มีใครโกรธคุณเลย เพราะฟอร์มที่น่าผิดหวังตลอดมาของพวกเขา สโมสรจากลอนดอนเหนือนั้นยังไม่เคยมีโอกาสชูถ้วยแชมป์อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008 ในช่วงนั้น เลสเตอร์ ซิตี้ก็ผงาดขึ้นมาสร้างความตกตะลึงให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ แถมคู่ปรับร่วมเมืองของพวกเขานั้นก็ยังก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ลีกและแชมป์รายการอื่น ๆ อีกนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นที่น่าสังเกตว่าในบรรดา 6 สโมสรชั้นนำ ท็อตแน่มเป็นทีมเดียวที่ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกหรือเอฟเอ คัพมาครองได้นับตั้งแต่ปี 1992 สถิติเหล่านี้และสถิติอื่น ๆ เป็นประเด็นที่นักวิจารณ์มักจะหยิบบกขึ้นมาในตอนที่มีการพูดคุยกันเรื่องสถานะของท็อตแน่มในวงการฟุตบอลอังกฤษ สเปอร์สล้มเหลวในหลายๆ ด้าน นอกเหนือจากยุคของเร็ดแน็ปป์ ซึ่งถือเป็นยุคที่ดีที่สุดของสโมสรในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาแล้ว เมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ได้สร้างความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาบ่มเพาะนักเตะดาวดังอย่างแฮร์รี่ เคนและเอริค ดายเออร์ นักเตะทั้งสองยังคงอยู่กับสโมสร แต่อย่างไรก็ตาม โชคร้ายที่เขาไม่สามารถใช้ฟอร์มอันน่าทึ่งในสนามเปลี่ยนให้เป็นถ้วยแชมป์ได้ เขาพาสโมสรไปถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างสุดยอด ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ยุค 80 จากนั้นก็เป็นโชเซ่ มูรินโญ่ “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” ผู้จัดการทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชนะต่อเนื่องก็มาถึง เขาได้ย้ายมาร่วมทีมหลังจากการที่โดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไล่ออกและถูกแทนที่โดยโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ความตื่นเต้นก็ลอยอบอวลจากการที่สโมสรแต่งตั้งผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสอย่างนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ซึ่งโชว์ฟอร์มได้ดีมากกับวูล์ฟแฮมป์ตันและมีส่วนในการพาพวกเขาให้ขึ้นไปเป็นทีมระดับท็อปเท็นอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เขาล้มเหลวในการสร้างความประทับใจให้กับสโมสรจากลอนดอนเหนือและก็ถูกไล่ออกอย่างรวดเร็ว การแต่งตั้งอันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือเชลซีมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นถูกมองว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของสโมสร ดังนั้นเขาจึงพาสโมสรจากที่จมอยู่ก้นบึ้งแห่งความล้มเหลวไปสู่ท็อปโฟร์ สเปอร์สพัฒนาขึ้นภายใต้การคุมทีมของคอนเต้ได้อย่างไร ในตอนที่ผู้จัดการทีมชาวอิตาลีย้ายเข้ามาสู่สโมสรนั้น ทางสโมสรถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ หนึ่งในหลาย ๆ นัดที่พวกเขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ที่สุดคือเกมนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป 0-3 ฟอร์มในนัดนั้นดูน่าสลดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อคุณตระหนักถึงความจริงที่ว่าทีมที่พวกเขาแพ้นั้นมีฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 40 ปีเลยทีเดียว ก่อนที่จะแต่งตั้งคอนเต้เข้ามาคุมทีม ทางสโมสรมีปัญหาในทุกหนแห่งในสนาม พวกเขาเสียประตูง่ายๆ และในแดนกลางก็ร่อแร่ พวกเขามักจะพึ่งพาฟอร์มของคู่หูอย่างแฮร์รี่ เคนและซน ฮึง มิน ในตอนแรกที่คอนเต้เข้ามา สิ่งแรกที่เขาทำคือทำให้ทีมมั่นคงโดยปรับปรุงเรื่องสภาพความฟิตของทีม จากนั้นเขาก็หยุดการเสียประตูง่าย ๆ เขายังดึงเอาฟอร์มที่ดีที่สุดของซอน ฮึง มินออกมาอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็เซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะใหม่เข้ามาในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการกระตุ้นการแข่งขันภายในทีมเพื่อให้ติดท็อปโฟร์ การมาของคูลูเซฟสกี้และเบนตันคูร์จากยูเวนตุสและการหล่อหลอมทีมนำไปสู่การทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำและมีโอกาสมากขึ้นที่จะก้าวไปข้างหน้า สเปอร์สจะจัดการกับสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นได้อย่างไร? สโมสรมีงานหนักอย่างแน่นอนในช่วงซัมเมอร์นี้ เหล่าผู้บริหารของสโมสรได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุนคอนเต้ในตลาดซื้อขายนี้แล้ว บริษัทผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่วนใหญ่อัดฉีดเงินถึง 150 ล้านปอนด์ให้กับทางสโมสรเพื่อคว้าตัวนักเตะที่อยู่ในเป้าหมาย สโมสรได้ซื้อมิดฟิลด์ทีมชาติมาลีระดับคุณภาพอย่างอีฟ บิสซูม่า รวมถึงอีวาน…
ไม่มีข้อกังขาแน่นอนหากเราจะพูดว่าเป็ป กวาร์ดิโอล่า เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอย่างแน่นอน สถิติของเขามันฟ้องอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาสามารถเสกความสำเร็จได้ในทุกๆ ที่ๆ เขาไปคุมทีม ที่บาร์เซโลน่า เขาได้สร้างฟุตบอลสไตล์ที่ใคร ๆ ก็อยากรับชม และทำให้สไตล์ ‘ติกี้ ตาก้า’ โด่งดังไปทั่วโลก ในขณะที่เขาครองลีกสเปนและเป็นหนึ่งในสโมสรแนวหน้าของยุโรปด้วย ที่บาเยิร์น มิวนิค เขาก็ทำแบบเดียวกันโดยการทำลายสถิติหลายรายการและแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของเขากับบาร์เซโลนาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การลงเล่นใน ‘ลีกที่ยากที่สุดในโลก’ กวาร์ดิโอล่าได้มาวาดลวดลายในพรีเมียร์ลีกและยังคงโชว์เครื่องหมายการค้าของเขาที่ทำลายสถิติมากมายอีกครั้ง นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาคุมทีมในปี 2016 เขาได้พาเรือใบสีฟ้าแล่นฉิวในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งพวกเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของห่วงโซ่อาหารและปล่อยให้สโมสรอื่นไล่หลัง แชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 สมัยในฤดูกาลที่ผ่านมานั้นหมายความว่าตอนนี้ ซิตี้คว้าแชมป์ลีกได้ 4 สมัยในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากวาร์ดิโอล่าจะหาประโยชน์ได้มากมาย แต่คำวิจารณ์ของเขาส่วนใหญ่มาจากความล้มเหลวของเขาในฟุตบอลระดับยุโรป พูดก็พูดเถอะ กวาร์ดิโอล่าได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกเพียง 2 สมัยเท่านั้นในอาชีพการคุมทีมของเขา กวาร์ดิโอล่าคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัยกับบาร์เซโลน่า ในปี 2009 และอีกครั้งเมื่อปี 2011 นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาชูถ้วยบิ๊กเอียร์ เนื่องจากเขาคว้าน้ำเหลวในรายการนี้กับบาเยิร์น มิวนิคและซิตี้ นับตั้งแต่แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2011 ซึ่งเป็นสมัยที่ 2 ของเขากับบาร์เซโลน่าแล้ว เขาก็ไม่เคยได้แชมป์รายการนี้อีกเลย เขาเคยเข้าใกล้ที่สุดในปี 2021 ซึ่งเขาพ่ายให้กับเชลซีในนัดชิงชนะเลิศ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้ กวาร์ดิโอล่าใช้เวลาอยู่ที่สโมสรแห่งนี้มา 6 ปีแล้ว – ถือเป็นสโมสรที่เขาอยู่นานที่สุดอีกด้วย – แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงล้มเหลวในการพาเรือใบคว้าแชมเปี้ยนส์ลีกสมัยแรกของสโมสรอยู่ดี เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีเงินเหลือเฟือให้ใช้ได้อย่างไม่จำกัด แต่เขาก็ยังล้มเหลว ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจทางการเงินที่ดีที่สุดในยุโรปก็ตาม ทั้งหมดข้างต้นทำให้เกิดคำถาม ถึงเวลาแล้วรึยังที่ซิตี้ต้องบอกลากับผู้จัดการทีมชาวสเปน ถ้าเขาไม่สามารถพาเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้หลังจากพยายามมาแล้วถึง 7 ฤดูกาล ซิตี้ใกล้เคียงเอามาก ๆ แล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเสียที เป็นเรื่องน่าขันที่จะคิดว่าในทศวรรษที่ผ่านมา ทุกสโมสรที่กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมนั้นได้ลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกทุกฤดูกาลในฐานะทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์มาเสมอ ผู้จัดการทีมชาวสเปนอาจจะครองลีกได้ในทุกๆ ลีก แต่ความสามารถในการใช้แท็คติกของเขามักทำให้เขา ‘คิดมาก’ มากเกินไป ตามที่แฟนๆ หลายคนเคยบอกเอาไว้ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ความอกหักนั้นมีมากกว่าความผิดหวัง อันที่จริงแล้วในปี 2020 กวาร์ดิโอล่าไม่เคยพาเรือใบสีฟ้าผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศในแชมเปี้ยนส์ลีกได้เลย…
การย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของคัลวิน ฟิลลิปส์นำมาซึ่งเรื่องราว 2 เรื่องสำหรับแฟนบอลเดนตายของลีดส์ ตัวเลือกของเขานั้นชัดเจน อยู่กับสโมสรที่คุณรักหรือย้ายไปร่วมทีมที่จะพาคุณได้แชมป์จนกลายเป็นตำนาน ถึงแม้ว่าดูเหมือนว่านักเตะได้เลือกอย่างหลังแล้วและน่าสนใจที่จะเห็นว่าเขาจะมีตัวตนในถิ่นเอติฮัดอย่างไร รายงานหลายแหล่งทั้งหมดในอังกฤษได้ยืนยันว่านักเตะวัย 26 ปีจะรับเงินก้อนโตเพื่อเข้ามาเป็นลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เรือใบสีฟ้าจะจ่ายค่าตัวเริ่มต้นที่ 45 ล้านปอนด์ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านปอนด์ได้ในภายหลัง แน่นอนว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้ฉลองชัยอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะพวกเขาต้องแย่งชิงกับคู่แข่งหลายทีมเพื่อคว้ามิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษคนนี้มา ถึงแม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลสำหรับนักเตะที่จะเลือกพวกเขาเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรในตอนนี้ ในตอนที่จบฤดูกาลที่แล้ว ฟอร์มการเล่นของแฟร์นันดินโญ่นั้นแทบจะไม่เป็นที่ต้องการเลยและด้วยการที่โรดรี้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับเพียงคนเดียว ก็มั่นใจได้แล้วว่าเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะเอาตัวฟิลลิปส์เข้ามาแทนที่มิดฟิลด์ชาวบราซิลที่ย้ายออกไป ในตอนที่ตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์เปิด ทุกคนรู้ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะพยายามและเสริมความแข็งแกร่งไปในตำแหน่งไหน พวกเขาลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาลที่แล้วโดยไม่มีกองหน้าขนานแท้เลย และคุณก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ในเกมสำคัญบางเกมไป เป๊ปจี้ประเด็นนี้ด้วยการเซ็นสัญญาคว้าตัวเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าชาวนอร์เวย์ที่น่าเกรงขามจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วยค่าตัว 51 ล้านปอนด์ พวกเขายังเห็นความจำเป็นในการหาตัวแทนของเฟอร์นันดินโญ่อีกด้วย แต่ก็จะต้องแทนที่ด้วยนักเตะอังกฤษรุ่นใหม่ (เพื่อเพิ่มโควต้านักเตะอังกฤษ) และใครบางคนที่มีเทคนิคสูง ทำไมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ถึงต้องคว้าตัวคัลวิน ฟิลลิปส์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฟิลิปส์นั้นเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับที่เก่งที่สุดในประเทศ ความตามตื้อ, ความนิ่มนวล, ความแข็งแกร่งและสายตาการจ่ายบอลอันเฉียบคมทำให้เขาอยู่ในกลุ่มนักเตะที่ดีที่สุดในลีก เขามักจะตกเป็นเป้าหมายของสโมสรชั้นนำหลายสโมสรอยู่เสมอ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในตำแหน่งของเขา สำหรับราคาที่เหมาะสม ลีดส์ก็พร้อมที่จะขายเขาอยู่แล้ว ฟิลลิปส์เผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้จอมอหังการเป็นครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกลายมาเป็นเกมพรีเมียร์ลีกสุดคลาสสิกในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด มันเป็นเกมระหว่างอาจารย์ดวลกับศิษย์ เป็ป กวาร์ดิโอล่าได้บอกหลายครั้งว่าเขาติดหนี้จากความสามารถในการคุมทีมของเขาจากมาร์เซโล่ บิเอลซ่าที่มีเมตตา ผู้จัดการทีมทั้งสองคนมีแนวทางในการทำทีมแบบเดียวกันอย่างไม่น่าแปลกใจ บิเอลซ่าก็เหมือนกับอดีตพี่เลี้ยงของเป็ป จากการชื่นชอบในการการครองบอลที่เหนียวแน่นและควบคุมเกมตั้งแต่ต้นจนจบ ในเกมนั้นที่เอลแลนด์ โร้ด ฟิลลิปส์ครองตำแหน่งนักเตะที่ครองบอลได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเกมนั้นและแทบจะอยู่ในทุกๆ ที่ในสนาม ตามความเป็นจริงแล้ว มีเพียงโรดรี้เท่านั้นที่แย่งบอลในแดนกลางได้มากกว่ามิดฟิลด์วัยอายุ 26 ปีในเกมนั้นเท่านั้น เขายังโดดเด่นในเกมด้วยการจ่ายบอลระยะไกลซึ่งเกือบจะสมบูรณ์แบบ ในเกมที่มีนักเตะจอมวางบอลอย่างเควิน เดอ บรอยน์ ฟิลลิปส์ก็ยังโดดเด่นและได้รับเสียงชื่นชมมากมายหลังจบเกม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ทิ้งเกมนั้นเลย ดูเหมือนว่าเขากำลังคัดเลือกตัวเพื่อย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ยังไงยังงั้นเลยล่ะ พลังและความว่องไวของเขาไม่เป็นสองรองใครเมื่อลีดส์บุกไปเอาชนะเรือใบถึงถิ่นเอติฮัดด้วยชัยชนะ 2-1 คัลวิน ฟิลลิปส์เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเขามีประสบการณ์ในการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกและยังมีความสามารถในการเปลี่ยนจากเกมรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เขายังสามารถหาช่องจ่ายบอลได้ดีอีกเช่นกัน ซึ่งเป็นลักษณะของนักเตะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ชื่นชอบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซิตี้เป็นฝ่ายวินในดีลนี้ เขาจะปรับตัวเข้ากับสโมสรได้อย่างไร เป็นความรู้ทั่วไปที่ปรัชญาฟุตบอลของเป๊ปนั้นไม่ได้เหมาะกับนักเตะทุกคน ฟุตบอลประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการครองอย่างแน่นหนาและการจ่ายบอลเร็วในแบบทรงสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม บางครั้งสิ่งนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักเตะที่จะปรับตัว ดังนั้น เป๊ปจึงช่วยด้วยการหาตัวนักเตะที่มีพรสวรรค์ด้านเทคนิคอยู่เสมอ สำหรับคัลวิน ฟิลลิปส์ การปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในแมนเชสเตอร์…
ตลาดซื้อขายกำลังดุเดือดและสโมสรในพรีเมียร์ลีกก็กำลังยุ่งอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติเหมือนกับทุกฤดูกาลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้บรรลุเป้าหมายในการคว้าตัวดาวเตะจอมถล่มประตูอย่างเออร์ลิ่ง ฮาลันด์จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ไปแล้ว ในขณะที่ลิเวอร์พูลก็ได้ตัวดาวยิงของเบนฟิก้าอย่างดาร์วิน นูนเญซเป็นที่เรียบร้อย ในทางกลับกัน นักเตะที่ย้ายออกจากพรีเมียร์ลีกก็มีไม่น้อย พร้อมกับยังมีอีกหลายคนที่กำลังมองหาสโมสรใหม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่ซาดิโอ มาเน่ย้ายจากลิเวอร์พูลไปซบบาเยิร์น มิวนิคนั้นจะเป็นดีลของนักเตะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกที่ย้ายออกในช่วงฤดูร้อนนี้ ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันและส่วนหนึ่งของธุรกิจที่แฟน ๆ เชลซีอยากจะลืม โรเมลู ลูกากู กองหน้าชาวเบลเยี่ยมก็หวนคืนสู่อดีตทีมอย่างอินเตอร์ มิลานไปแล้ว เรายังได้เห็นการย้ายออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทีมใหญ่และเราดูที่รายชื่อนักเตะระดับท็อป ที่อาจจะแยกทางกับสโมสรต้นสังกัดของพวกเขา นอกเหนือจากในอังกฤษ ตลาดซื้อขายปัจจุบันนี้จะได้เห็นการย้ายทีมภายในลีกมากมายภายในพรีเมียร์ลีกและเราจะมาเจาะลึกความเป็นไปได้ทั้งหมดกัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ การกลับคืนสู่ถิ่นเก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ในช่วงซัมเมอร์ที่แล้วนั้นเต็มไปด้วยความหวังและการมองโลกในแง่บวก การจบด้วยรองแชมป์ในพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลก่อนและแถมยังทะลุไปถึงรองชิงชนะเลิศยูโรป้านั้นทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าการมาของโรนัลโด้จะเป็นการเติมกระสุนในการพาสโมสรกลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้ง เมื่อเร่งความเร็วมาถึงปัจจุบันและมันกลับไม่ได้เป็นไปตามแผนเลย ถึงแม้ว่าจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แถมยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลแมตต์ บัสบี้ มันก็เป็นฤดูกาลที่อยากจะลืมเลือนสำหรับแฟน ๆ ปิศาจแดงเนื่องจากพวกเขาจบฤดูกาลด้วยการมีแต้มที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ตอนนี้มีรายงานมาว่าดาวยิงวัย 37 ปีนั้นไม่มีความสุขกับการที่ยูไนเต็ดขาดความทะเยอทะยานในตลาดซื้อขายในซัมเมอร์นี้ เนื่องจากบอสคนใหม่อย่างเอริค เทน ฮากยังไม่สามารถคว้าตัวใครมาร่วมทีมได้เลย เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานมาว่าบาเยิร์น มิวนิคถอยทัพในการเดินหน้าคว้าตัวโรนัลโด้ อดีตแข้งรีล มาดริดและยูเวนตุสยังมีข่าวเชื่อมโยงกับตัวนักเตะ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยเอามากๆ ในส่วนของเมเจอร์ลีกซอคเกอร์ในอเมริกาก็ได้รับการขนานนามว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นไปได้สำหรับนักเตะดาวดังชาวโปรตุเกส แต่ด้วยความทะเยอทะยานของเขาที่จะลงแข่งขันในระดับสูงสุดอยู่เสมอ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะคิดอย่างนั้น เว้นเสียแต่ว่าเขาลดค่าแรงลงอย่างมาก ไม่มีสโมสรไหนสามารถจ่ายค่าเหนื่อยเขาได้ ยกเว้นเปแอสเชและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ไม่ต้องการเขาแล้ว ราฟินญ่า หลังจากที่สนุกกับฤดูกาล 2021/22 พร้อมกับฟอร์มสุดน่าประทับใจกับลีดส์ ปีกชาวบราซิลกลายมาเป็นนักเตะที่เนื้อหอมโดยมียักษ์ใหญ่ให้ความสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบาร์เซโลน่า, เชลซี, ท็อตแน่มและอาร์เซนอลต่างพากันแสดงความสนใจในตัวเขา มีรายงานว่านักเตะวัย 25 ปีอยากที่จะย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า แต่ก็มีโอกาสที่เขาอาจจะได้ย้ายไปร่วมทีมร่วมพรีเมียร์ลีกเช่นเดียวกัน ลีดส์ต้องการค่าตัวอย่างน้อย 60 ล้านปอนด์และสถานการณ์ทางการเงินของบาร์เซโลน่าก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่มีเงินพอกับค่าตัวระดับนั้น กลับกัน มันอาจจะจบลงด้วยการแย่งชิงกันระหว่างทีมในลอนดอนอย่างท็อตแน่ม, อาร์เซนอลและเชลซี ในขณะที่เขียนอยู่นั้น อาร์เซนอลกำลังเป็นตัวเต็งในการได้ลายเซ็นของราฟินญ่า แต่ยังคงมีความเห็นต่างจากทางลีดส์อยู่บ้างในแง่ของการประเมินค่าตัวของนักเตะรายนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เนื่องจากการมาถึงของนักเตะตัวรุกอีกคนในทีมซิตี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่งอาจจะพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นที่ต้องการในสโมสรแห่งนี้อีกแล้ว ปีกความเร็วสูงวัย 27 ปีเหลือสัญญาอีกเพียง 1 ปีเท่านั้นและได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายออกจากถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยมแล้ว เนื่องจากเขายังคงเป็นผู้เล่นที่ทำกำไรได้และเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษอีกด้วย ซิตี้จะไม่ปล่อยให้เขาไปในราคาถูกอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่าจึงจะต้องยอมปล่อยให้สเตอร์ลิ่งย้ายออกจากทีมในซัมเมอร์นี้ แทนที่จะเสียเขาไปฟรี ๆ ในซัมเมอร์หน้า…
สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นหนึ่งในเรื่องจากบ้านของฟุตบอลอย่างเกาะอังกฤษ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลจริง ๆ ไม่ใช่แค่จากมุมมองของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่จากมุมมองคนทั่วไปด้วย อดีตราชันย์แห่งอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ ปัจจุบันตกอยู่ในห้วงเหวลึกตลอดกาลของความห่วยแตกในเชิงระบบ พวกเขาตกลงมาจากจุดสูงสุดมาไกลมากจนยากเกินกว่าที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะลึกลงไปอีกซักแค่ไหน นับตั้งแต่ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันวางมือจากวงการ สโมสรคว้าแชมป์ไปเพียง 5 รายการเท่านั้น ซึ่งไม่มีถ้วยรางวัลไหนที่เป็นที่ถ้วยใหญ่เลย นั่นคือ 5 แชมป์ในรอบเกือบทศวรรษ มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เพียง 5 รายการเป็นสิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทั่วไปยากที่จะภาคภูมิใจไปกับมัน แน่นอนว่าความล้มเหลวก็น่าปวดหัวแล้ว ตั้งแต่ปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้จ้างผู้จัดการมาแล้วถึง 5 คน หากรวมราล์ฟ รังนิคก็จะเป็น 6 คน ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามูรินโญ่ถือว่าทำผลงานได้ที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นความจริงด้วยที่ว่าเขาเป็นคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกบีบคั้นมากที่สุดเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องรับมือกับฟอร์มที่สุดแสนจะห่วยแตกในช่วงทศวรรษนี้ แต่ฤดูกาลที่แล้วถือว่าเป็นภาพรวมที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับสโมสร สโมสรจบด้วยอันดับที่ 6 แบบ ‘น่าสมเพช’ มีประตูได้เสียเป็นศูนย์ และยังโดนคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ยำเละอีกด้วย ฤดูกาลที่ผ่านมาถือเป็นการทดสอบความเป็นจริงที่โหดร้ายสำหรับแฟนๆ ที่มีความหวังเป็นอย่างมากในฤดูกาลหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่พวกเขาจบรองแชมป์ รวมถึงเข้าชิงยูโรป้าลีกอีกด้วย นี่ยังไม่นับความตื่นเต้นที่เกิดจากการกลับมาของซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้และการคว้าตัวนักเตะพรสวรรค์ระดับโลกอย่างราฟาเอล วารานและจาดอน ซานโช่อีกด้วย ย้อนกลับไปในวันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นป้อมปราการแห่งนักเตะพรสวรรค์และเป็นที่เกรงขามทั่วยุโรปและดึงดูดนักเตะระดับพรสวรรค์ที่ดีที่สุด แล้วอะไรคือสาเหตุของการตกต่ำครั้งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ยิ่งใหญ่? ที่สำคัญไปกว่านั้น ทำไมเหล่านักเตะถึงไม่มองว่าโอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นจุดหมายปลายทางที่คู่ควรในทุกวันนี้แล้วล่ะ? พวกเรามาดูสาเหตุที่เป็นไปได้กันเถอะ การซื้อตัวสุดสิ้นเปลือง นับตั้งแต่ปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ใช้เงินซื้อตัวไปมากกว่า 1 พันล้านปอนด์และอีกมากกว่า 2 พันล้านปอนด์ในการจ่ายค่าเหนื่อยของทั้งนักเตะและทีมงานสตาฟฟ์ นั่นถือเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในวงการฟุตบอล แถมยังเป็นการใช้จ่ายที่สุดจะฟุ่มเฟือยเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับระดับความธรรมดาของสโมสรในปัจจุบัน นักเตะอย่างพอล ป็อกบาและอังเคล ดิ มาเรียทำให้สโมสรต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล ในขณะที่ฟอร์มของพวกเขากลับทำให้สโมสรต้องเจ็บแสบหลังจากที่พวกเขาย้ายออกไป การย้ายตัวที่สรุปการทำธุรกิจอย่างเลวร้ายนี้ได้ดีที่สุดก็คือการที่พอล ป็อกบาได้ย้ายกลับไปอยู่กับยูเวนตุสเป็นแบบฟรี ๆ ถึงสองครั้ง เมื่อคุณคิดถึงคำว่า ‘ฟุ่มเฟือย’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องเข้ามาอยู่ในหัวอย่างแน่นอน ทางสโมสรประมาททางการเงินมากจนสโมสรอื่นๆ ในยุโรปมองว่าพวกเขาเป็นบ่อเงินเพื่อชุบชีวิตการเงินของพวกเขาดังที่เราเห็นได้ชัดเจนในมหากาพย์การซื้อตัวเฟรงกี้ เดอ ยอง สโมสรยังจ่ายเงินให้นักเตะบางคนมากจนเกินไป โดยเฉพาะแฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังชาวอังกฤษโชว์ฟอร์มได้เล็กน้อยมากในการตอบแทนความมั่นใจที่สโมสรมอบให้เขาด้วยการทำลายสถิติโลกสำหรับกองหลัง เขาถูกมอบให้เป็นกัปตันทีมในทันทีและฟอร์มของเขานั้นต่ำกว่ามาตรฐานมากสำหรับผู้เล่นที่มีค่าตัวกว่า 80 ล้านปอนด์ค่าเหนื่อยของนักเตะแมนเชสเตอร์…
ปัจจุบัน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์สได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ‘บิ๊ก 6’ ที่มีชื่อเสียงในพรีเมียร์ลีก เรื่องที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิจารณ์นั้นวิจารณ์มากที่สุดก็คือการที่สโมสรในลอนดอนเหนือนั้นไม่มีถ้วยรางวัลที่วาววับเพื่อแสดงถึง “ความพยายาม” ทั้งหมดของพวกเขาในทศวรรษที่ผ่านมา สมาชิกของ ‘บิ๊ก 6’ นั้นประกอบไปด้วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, ท็อตแน่ม, อาร์เซน่อลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แฟนๆ ของสเปอร์สนั้นไม่สนใจที่จะรับรู้ว่าสโมสรที่พวกเขาเชียร์นั้นประสบความสำเร็จน้อยที่สุดถ้าเทียบกับสโมสรอื่นที่เอ่ยชื่อขึ้นมาข้างต้นในแง่ของถ้วยรางวัลที่เคยได้ ครั้งสุดท้ายที่ท็อตแน่มคว้าแชมป์ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 และแฟนบอลของสเปอร์สก็ไม่อยากที่จะจดจำอีกด้วยว่ามันเป็นถ้วยรางวัลรายการลีกคัพ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางสโมสรเองก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศรายการถ้วยต่างๆ เพียงหยิบมือและพลาดโอกาสในการคว้าแชมป์ในทุกรายการที่เข้าชิง ล่าสุดก็คือรายการลีกคัพเมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว โชคร้ายที่นัดชิงชนะเลิศนัดนั้นถูกกลบด้วยกระแสการไล่ออกของผู้จัดการทีมอย่างโชเซ่ มูรินโญ่ นอกจากนี้ ทางสโมสรยังเกือบจะคว้าแชมป์ยุโรปในปี 2018 ภายใต้การคุมทีมโดยผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่แฮร์รี่ เร้ดแนปป์อย่างเมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ สโมสรทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อย่างยอดเยี่ยมและใครจะลืมการคัมแบ็คสุดน่าเหลือเชื่อในเกมกับอาแจ็กซ์ได้กันล่ะ น่าเสียดายที่ทีมขาดประสบการณ์เวทียุโรปและได้รับบทเรียนจากคู่ปรับจากอังกฤษอย่างลิเวอร์พูล ทำไมท็อตแน่มควรถูกมองว่าเป็นสโมสรใหญ่ เมื่อเราพูดถึงสโมสรใหญ่ บริบทของการพูดคุยนั้นก็มีความสำคัญ ตัวอย่างเช่นเราสามารถเรียกแอสตัน วิลล่าว่าเป็นสโมสรใหญ่ได้ง่ายๆ เนื่องจากสโมสรแห่งนี้เคยคว้าแชมป์ยุโรปมาครองแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม คุณจะไม่เอาวิลล่าอยู่เหนือท็อตแน่มในบริบทใด ๆ ก็ตามในปัจจุบันนี้ เมื่อความคิดของยูโรเปี้ยนซูเปอร์ลีกเกิดขึ้น หลายคนสงสัยว่าทำไมสเปอร์สถึงถูกรวมเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย แต่ผู้จัดรู้ดียิ่งกว่า สเปอร์สมีโครงสร้างเพดานค่าเหนื่อยที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ในลีกและได้รับเงินสูงสุดในการขายตัวนักเตะชาวอังกฤษอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นไปตามทั้งหมดที่กล่าวมา แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยในความทะเยอทะยานของสเปอร์สและตั้งฉายาพวกเขาว่าเป็นสโมสรเล็ก ๆ ในสนามเหย้าที่สวยงาม ดังนั้น นี่จึงทำให้เกิดคำถามว่าอะไรคือเกณฑ์ที่ทำให้สโมสรอย่างท็อตแน่มนั้นเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพล แฟนบอล: นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการคัดเลือกและจัดประเภทสโมสรชั้นนำอย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่ในอังกฤษ แต่ยังรวมถึงสโมสรทั่วโลกก็ใช้เกณฑ์นี้เป็นตัวตัดสินด้วยเช่นกัน ด้วยความช่วยเหลือจากการจัดการระดับโลกโดยเดเนี่ยล เลวี่ ท็อตแน่มได้สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาและสามารถขยายแบรนด์ของพวกเขาเองไปได้ทั่วโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณภาพของนักเตะในสโมสรนั้นสามารถช่วยขายแบรนด์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอลที่ติดตามสโมสรได้ เช่นเดียวกับที่แฮร์รี่ เคนได้สร้างเส้นทางในอาชีพการค้าแข้งของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น (กับสโมสร) และกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์และฮีโร่ระดับโลกสำหรับคนรุ่นต่อไป เมื่อพูดถึงฮีโร่ เราจะลืมซอน ฮึง มินไปได้ยังไงกันล่ะ นักเตะคนที่เอาแฟนบอลเกาหลีใต้ทั่วประเทศมาสู่ถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลนอย่างแท้จริง ความจุของสนาม: ความจุของสนามของสโมสรใดๆ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตามนั้นมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของพวกเขา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีสนามเหย้ที่ใหญ่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก ส่วนสนามใหม่ของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์สนั้นเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษด้วยความจุมากกว่า 62,000 ที่นั่ง ความจุของสนามเหย้าของสโมสรนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพื้นที่สำหรับแฟนๆ ให้เข้าร่วมสนุกกับสโมสรมากขึ้นอีกด้วย มันยังน่าสนใจสำหรับคุณอีกด้วยที่จะทราบว่าสนามกีฬาขนาดใหญ่นั้นสามารถใช้ประโยชน์สำหรับงานบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับสโมสรได้อีกด้วย การเงิน: นี่อาจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลยล่ะ จากในส่วนอื่น…
เชลซีเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่ยุคใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ของพวกเขาหลังจากที่เศรษฐีชาวรัสเซียอย่างโรมัน อบราโมวิชขายสโมสรไปและการมาถึงของท็อดด์ โบห์ลี่และคู่หูของเขาในฐานะเจ้าของทีมคนใหม่ สิงห์บลูเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอังกฤษมาตลอด 19 ปีที่ผ่านมานั้นต้องขอบคุณความเอื้ออาทรและความเต็มใจของอบราโมวิชที่จะพาทีมก้าวขึ้นไปอีกขั้นเมื่อพูดถึงโปรเจ็คที่เกี่ยวกับในสนามของพวกเขา อบราโมวิชได้ปรับปรุงสนามของพวกเขา, ทำข้อตกลงและการรับรองมากมาย, เซ็นสัญญากับนักเตะและผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดและเป็นคนที่ทำหน้าที่เป็นกาวใจที่จะนำสโมสรกับแฟนบอลมารวมใจกัน นอกจากนี้ เขายังเต็มใจที่จะให้เงินกับสโมสรด้วยเงินส่วนตัวของเขาเองหลายครั้ง ซึ่งเขาทำกำไรได้มากถึง 1.5 พันล้านปอนด์ ซึ่งเขาได้สละทิ้งไปหลังจากที่มอบสโมสรให้กับโบห์ลี่และหุ้นส่วนของเขาเรียบร้อยแล้ว อบราโมวิชเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในอุดมคติและสโมสรต่อไปที่เขากำลังจะย้ายไปเป็นเจ้าของทีม – มีรายงานว่าเขากำลังมองหาสโมสรในลาลีกาเพื่อการลงทุนครั้งต่อไปของเขา – ทีมที่ได้ตัวเขาไปเป็นเจ้าของทีมจะต้องโชคดีเอามาก ๆ เลยล่ะ ในขณะเดียวกัน เชลซีก็กำลังมองหาสิ่งที่ดีกว่ากับท็อดด์ โบห์ลี่และคู่หูของเขา เศรษฐีชาวอเมริกันเป็นฝ่ายชนะการประมูลสำหรับการซื้อสโมสร ซึ่งเอาชนะคู่แข่งที่จริงจังในการประมูลถึง 8 ฝั่ง รวมถึงเจ้าของสโมสรฟุตบอลอื่นอีกด้วย การประมูลของเขาที่ราคา 4.2 พันล้านปอนด์นั้นแสดงถึงความตั้งใจที่จะลงทุนกับสโมสรแห่งนี้และแฟนบอลของเชลซีก็มีสิทธิ์ที่จะตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้ พวกเขาสามารถตื่นเต้นได้มากขึ้นไปอีกในขณะที่เขาได้รับรายงานว่าเจ้าของทีมได้จัดสรรเงิน 200 ล้านปอนด์สำหรับการซื้อขายในช่วงซัมเมอร์นี้ ตัวเลขนี้จะถูกเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนเงินที่พวกเขาได้จากการขายนักเตะ 2-3 คน นี่อาจทำให้เชลซีก่อจลาจลในตลาดซื้อขายนักเตะก่อนที่จะเปิดฤดูกาลหน้า ซึ่งจะทำให้โธมัส ทูเคิ่ลมีความสุขเอามากๆ เลยล่ะ อย่างไรก็ตาม แฟนบอลของเชลซีจะต้องปรับความคาดหวังของพวกเขากับเจ้าของใหม่เพราะพวกเขาจะไม่ให้ความสนใจเหมือนกับที่อบราโมวิชทำอย่างแน่นอน เชลซีมีเจ้าของทีมใหม่ที่มีมากกว่า 1 คน ไม่ได้เหมือนอบราโมวิชที่เป็นเจ้าของทีมแต่เพียงผู้เดียว เรื่องราวครั้งหนึ่งในของอบราโมวิชในฐานะเจ้าของทีมเชลซีคือวิธีที่เขาทิ้งเงินไว้ 1.5 พันล้านปอนด์ซึ่งเขาให้สโมสรยืมเพื่อดำเนินการมาตลอดในช่วง 19 ปีที่เขาเป็นเจ้าของทีม มีรายงานว่าเชลซีสามารถเข้าสู่สภาวะล้มละลาย (การบริหารงานของสโมสรโดยองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลหรือทางลีก) หากเขาไม่ตัดหนี้นั้นออก โดยพื้นฐานแล้ว การขายสโมสรจะไม่สร้างความแตกต่างมากนักในขณะที่เขาดูแลสโมสรให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ท็อดด์ โบห์ลี่และคู่หูของเขาไม่มีทางทำแบบนี้เพื่อสโมสรอย่างแน่นอน เจ้าของทีมคนใหม่ของอดีตแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัยคือกลุ่มที่มีมหาเศรษฐีชาวอเมริกันเป็นหัวหน้า กับโบห์ลี่ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก 5 รายในกลุ่มนี้: หุ้นส่วนธุรกิจของโบห์ลี่ มหาเศรษฐีชาวสวิสอย่างฮันสเยอร์ก วึส, โจนาธาน โกลด์สตีน เจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ชาวอังกฤษ, บริษัทการลงทุนของอเมริกา เคลียร์เลค แคปิตอลและเจ้าของร่วมของแฟรนไชส์เมเจอร์ลีกเบสบอลทีมลอสแองเจลิส ดอดเจอร์สของโบห์ลี่อย่างมาร์ค วอลเตอร์ ข่าวก็คือทุนส่วนใหญ่ที่ใช้ในการซื้อสโมสรมาจากเคลียร์เลค แคปิตอล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุม สิ่งนี้ส่งผลให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของสโมสรมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเงิน ทุกอย่างจะต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับผลตอบแทนจากการลงทุนของตัวเลขเหล่านี้ที่มารวมตัวกันเพื่อลุยงานของการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล ดังนั้น ทุกการลงทุนใหม่และการซื้อตัวและการขายนักเตะทุกครั้งจะต้องทำให้บัญชีของสโมสรมีความสมดุลกันเสมอ อบราโมวิชยินดีที่จะใช้เงินของเขาเพื่อสร้างสมดุลให้กับบัญชีของสโมสรเพราะเขาไม่เพียงแค่เขารักเชลซีเท่านั้น แต่ยังเป็นแฟนฟุตบอลที่รู้ว่าบางครั้งการเซ็นสัญญาก็ไม่เป็นไปตามแผน มันจะไม่มีทางที่อะไร ๆ จะเป็นเหมือนเดิมกับเจ้าของทีมใหม่อย่างแน่นอน การเปลี่ยนแปลงในการจัดการ เนื่องจากการมาของเจ้าของทีมใหม่ ก็ต้องมีพนักงานใหม่และการจัดการบริหารแบบใหม่ มีรายงานว่าโบห์ลี่จะเข้ามาแทนที่ของมาริน่า กรานอฟสกาย่าในฐานะผู้อำนวยการกีฬาชั่วคราวของสโมสร กรานอฟสกาย่ารับผิดชอบในการเซ็นสัญญาและการตัดสินใจด้านกีฬาทุกอย่างของสโมสรในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาซึ่งทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก, แชมป์สโมสรโลกและยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ…
จะมีใครที่จะหยุดความร้อนแรงของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในลีกอังกฤษได้หรือไม่? นั่นเป็นคำถามใหญ่เพียงข้อเดียวที่ดูจะตอบยากเอาการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำตอบก็คือมี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นหลายๆ ลีกทั่วยุโรปถูกขนานนามว่า ‘ลีกชาวนา’ คำนี้ใช้โดยทั่วไปแล้วเป็นคำที่เสื่อมเสียเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ลีกที่ไม่มีการแข่งขันที่สูสีและถูกครอบงำโดยสโมสรใดสโมสรหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อย่างลีกบุนเดสลีกา, ลีกเอิงและเซเรีย อาก็ถือเป็นตัวการสำคัญของ ‘คำ’ นี้อีกด้วย คำว่า ‘ลีกชาวนา’ ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่แฟนบอลชาวอังกฤษที่เชื่อว่าพรีเมียร์ลีกนั้นเป็นลีกที่เหนือกว่าหลายๆ ลีก ลีกซึ่งที่ใครๆ ก็รู้อยู่ตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลแล้วว่าใครจะเป็นแชมป์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พรีเมียร์ลีกในปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเป็นลีกที่ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ และมีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก ในช่วงก่อนเปิดทุกๆ ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก มีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ 4-5 ทีม โดยเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถท้าชิงตำแหน่งแชมป์ได้ ซึ่งนำไปสู่ทีม ‘บิ๊กซิกซ์’ ที่มีชื่อเสียง ในที่อื่นๆ บางคนมีความเห็นว่าสำหรับลีกสูงสุดในทั้งฝรั่งเศส, เยอรมนีและอิตาลีนั้น มันง่ายมากกับการที่จะบอกว่าใครจะเป็นแชมป์ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด และมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมพรีเมียร์ลีกถึงยังไม่ถูกเรียกว่า ‘ลีกชาวนา’ ซักที และนอกเหนือจากลิเวอร์พูลที่ทำให้ลูกทีมของกวาร์ดิโอล่าต้องเจอกับงานหนักในช่วงฤดูกาลที่พึ่งจบลงไป ซิตี้นั้นมีคะแนนนำทีมอันดับที่ 3 อย่างเชลซีมากสุดกู่ถึง 19 คะแนนและนั่นก็บอกอะไรเราได้เยอะเลยล่ะ ตั้งแต่ตอนที่เป็ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในปี 2016 พวกเขากลายมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมในการครองลีกอังกฤษและคุณแทบจะเดาได้เลยว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ได้ก่อนที่ฤดูกาลจะเปิดซะอีก แต่เรือใบสีฟ้าไม่ได้ผงาดขึ้นมาครองลีกได้โดยใช้เวลาเพียงวันเดียวและพวกเราจะมาเจาะลึกกันดูว่าอะไรคือสิ่งที่ทีมอื่นๆ จะสามารถทำได้เพื่อลดช่องว่างระยะห่างของทีมและยุติการผูกขาดของฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เงินที่จะต้องใช้สู แน่นอนว่ากวาร์ดิโอล่าจะได้รับคำชื่นชมมากมายสำหรับการสร้างทีมที่ค่อนข้างยากในการที่จะเอาชนะได้ แต่จะมีซักกี่ทีมที่จะมีอำนาจในเรื่องการเงินมากเท่ากับที่ทีมเรือใบสีฟ้ามีกันล่ะ? โชคดีที่เชลซีได้อบราโมวิชเข้ามาซื้อสโมสรในปี 2003 ซึ่งก็เช่นเดียวกับซิตี้ ในตอนที่ถึงคราวที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ประสบความสำเร็จ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องของเงินจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง สโมสรที่ร่ำรวยที่สุดมักจะได้รับการพูดถึงในแนวนั้นบ่อยที่สุดและแนวโน้มนั้นก็เพิ่มขึ้นทุกวันในฟุตบอลสมัยใหม่นี้ ในฝรั่งเศส เปแอสเชถือเป็นคำอธิบายแนวโน้มนี้ได้ดีที่สุด แน่นอนว่าซิตี้ก็ไม่ต่างกัน ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะใช้เงินมากมายมหาศาลตั้งแต่ชีค มานซูร์เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรในปี 2008 ด้วยเหล่านักเตะที่มีความสามารถมากมายอยู่รายล้อมตัวเพื่อให้กวาร์ดิโอล่าได้ยัดคุณภาพในการหล่อหลอมทีมของเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรจอมถล่มประตู เมื่อพูดถึงเรื่องการเงิน มีเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ในพรีเมียร์ลีก เชลซีเคยมีอำนาจมากขนาดนั้นเช่นกัน แต่การที่ท็อดด์ โบห์ลีเข้าซื้อกิจการของสโมสรเมื่อไม่นานนี้ทำให้สิงห์บลูส์อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจไม่ใจปล้ำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ 6 ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้มีอำนาจทางการเงินที่มากที่สุดและสิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบเหนือคู่แข่งก่อนที่จะเปิดฤดูกาลด้วยซ้ำ นิวคาสเซิลยังอาจเป็นที่คุกคามพวกเขาได้มากที่สุดแล้วในตอนนี้ จากการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุดโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะซาอุดิอาระเบีย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังต้องใช้เวลาอีกนานในการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันและหากลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตัวเอง นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่สามารถทำให้ซิตี้แซงหน้าทีมอื่นได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ยิ่งอำนาจทางการเงินระหว่างพวกเขาและทีมอื่นๆ ลดลงได้เร็วเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งได้เปรียบน้อยลงในการทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งเพื่อดึงดูดเหล่าบรรดานักเตะ…
สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราในหลายแง่มุม และส่งผลกระทบต่อหลายวงการทั่วโลก แน่นอนว่าฟุตบอลก็เป็นอีกวงการหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ของเชลซีในตอนนี้นั้นสร้างความกังวลต่อเหล่าแฟน ๆ เชลซีอยู่เหมือนกัน โรมัน อบราโมวิช หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เสี่ยหมี ได้เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเชลซีตั้งแต่ปี 2003 ยังคงถูกครหาว่าเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายกฯ ของรัสเซีย อย่างวลาดิเมียร์ ปูติน และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาถูกแรงกดดันจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อที่จะยึดทรัพย์สินของเขา ในฐานะปรปักษ์ทางการเมือง การที่ทีมสิงโตน้ำเงินครามจะต้องแยกทางกับโรมัน อบราโมวิช ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าตะลึงที่สุดในวงการกีฬาตลอดกาล ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ โดยนิสัยแล้ว เสี่ยหมีเป็นเจ้าของทีมที่ต้องการความสมบูรณ์แบบจากลูกทีมและสตาฟฟ์โค้ชของเขา เขาไม่สนใจเรื่องความจงรักภักดีต่อทีมเท่าไรนัก เขาจะสนใจก็แต่ถ้วยรางวัลที่เขาจะสามารถคว้ามาเพิ่มให้กับสโมสรก็เท่านั้น แต่จะเอายังไงต่อไปดีล่ะ เชลซีจะต้องทำอย่างไรในสถานการณ์ที่ถูกคว่ำบาตรแบบนี้ เรามาลองคาดเดาเหตุการณ์ที่เป็นไปได้กันดู ว่ามหากาพย์ครั้งนี้จะจบแบบไหนได้บ้าง การคว่ำบาตรต่ออบราโมวิชและเชลซี จากการรายงานของสำนักข่าวสกายสปอร์ต รัฐบาลอังกฤษได้ลงดาบอบราโมวิช โดยการระงับการทำธุรกรรม และแช่แข็งทรัพย์สินในสหราชอาณาจักรทั้งหมดของบราโมวิช เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็คงเดาได้ไม่ยากว่าทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดของเจ้าตัวในเกาะอังกฤษก็คือสโมสรเชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษนั่นเอง อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา อบราโมวิชเคยถูกลงโทษในกรณีที่คล้ายคลึงกันมาแล้วก่อนหน้านี้จากรัฐบาลสหรัฐ หลังจากมีการรายงานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนป้องกันความเสี่ยงกองทุนหนึ่ง มูลค่ากว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ สิ่งที่น่าสนใจของการลงโทษเศรษฐีชาวรัสเซีย คือการที่ทรัพย์สินของเขานั้นอาจถูกยึดจากรัฐบาลได้ และเขาจะมีวิธีอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนยึดทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น เขาได้นำเรือซูเปอร์ยอร์ชมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์ของเขา ไปจอดในน่านน้ำของตุรกี เพื่อป้องกันรัฐบาลอังกฤษจากการยึดเรือยอร์ชของเขา โดยตุรกีนั้นเป็นประเทศนอกสหภาพยุโรป และไม่ได้มีนโยบายต่อต้านเศรษฐีรัสเซียเหมือนกับประเทศยุโรปชาติอื่น ๆ ถือว่าตุรกีนั้นเป็นที่ที่ชาวยซื้อเวลาให้เหล่าเศรษฐีรัสเซียได้พอสมควร จากการตกที่นั่งลำบากจากผลของสงครามครั้งนี้ สำหรับทีมเชลซี พวกเขาก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน โดยพวกเขาจะไม่ได้รับเงินจากยอดขายเสื้อและตั๋วในปีนี้แม้แต่ปอนด์เดียว จากการถูกลงโทษโดยรัฐบาลอังกฤษ หลักการก็คือเพื่อป้องกันเงินเข้าสู่กระเป๋าของอบราโมวิช ที่อาจจะนำเงินนี้ไปสนับสนุนกองทัพรัสเซีย นอกเหนือจากนั้น ยังมีการลงโทษทีมเชลซีเพิ่มอีก โดยพวกเขาจะถูกห้ามซื้อขายนักเตะ เซ็นสัญญา และขายสินค้าใด ๆ ไปก่อนจนกว่าจะมีการกำหนดปลดแบน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทีมเชลซีกำลังเดินเรื่องเพื่อขอพิจารณาลดโทษหรือเปลี่ยนโทษ น่าจะเป็นเวลาพอสมควรเลยทีเดียวกว่าจะรู้ผล และผู้เล่นในทีมและแฟน ๆ ก็คงจะต้องหน้าหงิกกันไปอีกสักพักใหญ่ ในขณะนี้ การที่จะขายสโมสรเชลซีนั้นจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะต้องหาทางขายสโมสรให้ได้ โดยที่มีการจับตาอย่างเข้มงวด เพราะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการประกาศชายทีม ก็ได้เกิดกระแสมากมายในวงการฟุตบอล ทั้งจากแฟนบอลและกูรูฟุตบอลรอบโลก แฟนเชลซีส่วนใหญ่ยังเชิ่อมั่นว่าทีมรักของตนจะกลับมายิ่งใหญ่และเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ดีก็ยังไม่วางใจต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่จะสามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้. สถานการณ์ในปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อเหล่านักเตะอีกด้วย มันไม่ใช่งานง่ายเลยที่จะโฟกัสกับเกมฟุตบอลและล่าชัยชนะในสนามเพียงอย่างเดียวในสถานการณ์เช่นกัน กองหน้าชาวอเมริกันอย่าง คริสเตียน พูลิซิช ได้กล่าวในช่วงพักเบรกทีมชาติที่ผ่านมาว่า “มันเป็นสถานการณ์ที่บ้ามาก ๆ เลยนะ ผมพูดตรง ๆ…
กาลครั้งหนึ่งเคยมียุคสมัยที่ทีมชั้นนำในยุโรปล้วนใช้กองหน้าคู่ในการทำเกมรุก แต่ในช่วงทศวรรษ 2010 เทรนด์ของการเล่นแบบหน้าคู่เริ่มซาลง เพราะทีมส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมลดกองหน้าเหลือเพียงคนเดียว เพื่อแพ็คแดนกลางของพวกเขาให้แน่นดีกว่าเล่นแบบมีกองหน้าสองตัว คุณอาจจะไม่เคยเห็นทีมดัง ๆ ในปัจจุบันใช้แผนหน้าคู่เท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ดี ในตอนนี้กระแสของการเล่นแบบกองหน้าคู่เริ่มกลับมาแล้ว เพราะการมีกองหน้าสองตัวช่วยให้ทีมผลิตสกอร์ได้มากขึ้น ร่วมถึงช่วยให้เพื่อนร่วมทีมมีงานที่ง่ายขึ้นในการหาเป้าจ่ายหรือครอสเข้าไปเพื่อทำประตู ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีคู่กองหน้ามากมายฟอร์มแรงขึ้นมา และมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วย ฉะนั้นเรามาลองดูรายชื่อของคู่กองหน้าที่อันตรายที่สุดในยุคนี้กันดีกว่า และอะไรทำให้พวกเขาพิเศษกว่ากองหน้าคู่อื่น ๆ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กับ โทมัส มุลเลอร์ เราเองยังไมอยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคู่กองหน้าคู่ไหนที่มีสถิติการยิงประตูน่าทึ่งขนาดนี้ในโลก เพราะแค่เพียงจำนวนประตูจากสองคนนี้ก็แทบจะเพียงพอที่จะทำให้แฟนเสือใต้หัวเราะชอบใจกับปริมาณประตูที่ทีมทำได้อย่างมหาศาลแล้ว และก็น่าจะไม่มีคำไหนในพจนานุกรมที่สามารถบรรยายความยอดเยี่ยมของเลวานดอฟสกี้ได้ เพราะในสองฤดูกาลล่าสุด เขายิงไปถึง 93 ประตูใน 77 เกมที่ลงเล่น และในฤดูกาลก่อนหน้านั้น เขาก็ยิงไปถึง 55 ประตู และพาทีมคว้าทุกถ้วยที่ทีมลงทำการแข่งขัน สำหรับคู่ขาอย่างโทมัส มุลเลอร์ เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีความครบเครื่องในตัวสูงมาก จะเอาเขาไปเล่นตรงไหน หรือจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ยิง เปิด ปั้นเกม เขาทำได้หมด เขาน่าจะเป็นนักเตะคนเดียวในยุโรปขณะนี้ ที่สามารถเล่นในตำแหน่ง “รอมดอยต์เตอร์” ได้ และยังเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนจากชุดแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 ที่ยังเล่นในลีกใหญ่อยู่ และดูจากสถิติที่เขาทำได้แล้ว ดูเหมือนเขาจะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะโรยราตามสังขารเหมือนนักเตะทั่วไป และเขายังเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่สามารถคว้า “ทริปเปิลแชมป์” ได้ถึงสองครั้ง ในฤดูกาล 2012/2013 และ 2019/2020 โดยเขาเป็นตัวหลักของทีมในทั้งสองครั้งเสียด้วย การที่เขาสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งหน้าคู่และหน้าต่ำจะเป็นที่จดจำสำหรับแฟนบอลเยอรมันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะแฟน ๆ ของบาเยิร์นมิวนิก ความเข้าขากันของเขากับเลวานดอฟสกี้และปีกคนใหม่ของทีมอย่าง เลรอย ซาเน่ น่าจะส่งสารให้กับทุกทีมแล้วว่า บาเยิร์น ยังคงเป็นทีมตัวเต็งในศึกฟุตบอลยุโรปอยู่ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กับ เอดิน เชโก้ หลังจากที่ลูคาคูย้ายออกจากอินเตอร์ไปด้วยค่าตัวสถิติโลก แฟนบอลอิตาเลียนหลายคนก็เดาว่าแชมป์เก่าอย่างอินเตอร์จะต้องเป๋และหลุดฟอร์มในฤดูกาลนี้ที่ไม่มีลูคาคูอย่างแน่นอน บวกกับการเสียอันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือจอมเก๋าของทีมไปอีก แทบจะทุกคนเชื่อว่าทีมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปสำหรับการจะทำทีมลุ้นแชมป์ และปีนี้น่าจะเป็นปีตั้งหลักถ่ายสายเลือดสำหรับพวกเขา มากกว่าที่จะลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว แต่ผิดคาด อินเตอร์ยังคงรักษามาตรฐานเดิมเหมือนกับฤดูกาลก่อนได้ แม้จะเสียกุนซือและนักเตะคนสำคัญไป ถึงในถ้วยยุโรปพวกเขาจะแพ้ให้กับลิเวอร์พูลจนตกรอบ แต่ในลีก พวกเขายังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกด้วย สาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขายังคงฟอร์มเก่งเอาไว้ได้ นั่นก็คือคู่กองหน้าใหม่ของพวกเขา เลาตาโร่…