Author: admin
เกริ่นนำ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ฮีโร่ขวัญใจในวัยเด็กของเราก็เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพการค้าแข้งแล้ว มันเป็นความจริงแสนน่าเศร้าที่ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นก็ต้องมีดับไป ไม่ว่าคุณจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม นักเตะเหล่านี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเขย่าโลกลูกหนังด้วยฝีเท้าของพวกเขาใกล้จะถึงเวลาแขวนสตั๊ดแล้ว ในบทความนี้ เราจะรวมรวมรายชื่อ 10 นักเตะที่มีแนวโน้มว่าจะเลิกเล่นหลังจบศึกฟุตบอลโลกในปีนี้ ยุคทองใกล้ถึงจุดจบ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักเตะที่มีฝีมือมากมาย แน่นอนว่ารวมไปถึงสองนักเตะที่น่าจะเยี่ยมยอดที่สุดตลอดกาล และทำให้มาตรฐานของฟุตบอลนั้นสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนในตอนนี้ นักเตะในยุคนี้ส่วนมากก็เข้าช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้งแล้ว ถ้วยฟุตบอลโลกในช่วงปลายปีนี้ อาจเป็นรายการสุดท้ายของนักเตะระดับตำนานหลาย ๆ คน อาทิเช่นสิบคนต่อไปนี้ 1. ลีโอเนล เมสซี่ – อาร์เจนติน่า ปีกชาวอาร์เจนไตน์ปัจจุบันอายุ 34 ปีแล้ว และกำลังจะลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 ของเขา ซึ่งก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาเช่นกัน ดาวเตะจากทีมปารีสเพิ่งได้แชมป์โกปา เดล เรย์ ที่รอมาเนิ่นนานได้สำเร็จ และมีสถิติส่วนตัวที่ยากจะหาใครเทียบได้ โดยดาวเตะว่าที่นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลนั้นถลุงไปถึง 762 ประตู จากการลงเล่นเพียง 969 เกมเท่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงอีก 328 แอสซิสต์ ที่เรายังไม่ได้พูดถึงอีก นอกจากนี้ก็ยังมีรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย อาทิเช่น บัลลงดอร์ 7 สมัยรางวัลผุ้เล่นทรงคุณค่าของยุโรป 3 สมัย ดาวซัลโว 22 ครั้ง และ ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีอีก 10 ครั้ง ไม่แปลกใจที่เขาจะมีสถิติที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้านของฟุตบอล เขายังเป็นรองดาวซัลโวตลอดกาลในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอีกด้วย ประตูแรกในฟุตบอลโลกของเขาต้องย้อนกลับไปในปี 2006 ที่เขาสามารถยิงได้ 1 ประตูและแอสซิสต์อีก 1 ครั้ง จากการลงเล่น 3 เกม ถึงในปี 2010 เขาจะยิงไม่ได้เลยก็ตาม จากการลงเล่นห้านัด ในปี 2014 เขาก็สามารถแก้ตัวได้ ด้วยการโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ยิงไปถึง 4 ประตูและแอสซิสต์อีก 1 ครั้ง คว้ารางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ได้ด้วย จากการลงเล่น 7 นัด ทำให้ทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แม้ว่าจะแพ้ให้กับเยอรมันไปอย่างน่าเสียดาย 0-1…
ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ในช่วงของการสร้างทีมใหม่ครั้งใหญ่ภายใต้การนำทีมของเอริค เทน ฮาก ถึงแม้การลงทุนทั้งหมดที่พวกเขาผลาญเงินไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลยเมื่อเทียบกับความยอดเยี่ยมที่คู่ปรับของพวกเขาอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูลและเชลซีได้แสดงออกมา ในฤดูกาลหน้า พวกเขาจะไม่ได้ลงในเล่นในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นฤดูกาลที่สี่นับตั้งแต่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันวางมือไป มันรู้สึกราวกับข่าวเมื่อวานเลยในตอนที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับรู้ถึงรสชาติของความสำเร็จ ภายใต้การคุมทีมของอดีตผู้จัดการทีมอเบอร์ดีนอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลายมาเป็นสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษและกลายมาเป็นสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ฟุตบอลในแบบที่พวกเขาเล่นและแชมป์ที่พวกเขากวาดมาได้อย่างต่อเนื่องทำให้ทุกๆ คนให้การยอมรับ พวกเขาจะสามารถกลับมาอยู่ในระดับนั้นได้อีกครั้งหรือไม่? คำตอบของคำถามนี้ทำให้วงการฟุตบอลเสียงแตก แต่อย่างไรก็ตาม มันมีเหตุผลมากมายที่ว่าทำไมพวกเขาจะกลายเป็นเหมือนกับที่น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์และแอสตัน วิลล่าเคยเป็น หากมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างเหล่าปิศาจแดงในยุคนี้และในปีต่อๆ มาภายใต้การคุมทีมของเฟอร์กูสันแล้วล่ะก็ นั่นคือความเกลียดชังที่มีต่อเจ้าของทีมของพวกเขา นั่นคือครอบครัวเกลเซอร์ส ในปี 2013 ไม่ได้มีเพียงผู้จัดการทีมชาวสก็อตติชคนเดียวเท่านั้นที่เดินโบกมืออำลาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เดวิด กิลล์เป็นอีกคนที่ตามตาเฒ่าเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันออกจากสโมสร ดังนั้น การจัดการทางฝ่ายบริหารและการตัดสินใจในการซื้อขายนักเตะถูกส่งต่อไปให้กับเอ็ด วู้ดเวิร์ด ผู้บริหารสูงสุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยก่อนที่จะทำหน้าที่นี้ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ด วู้ดเวิร์ดไม่เคยตัดสินใจเรื่องใดๆ เกี่ยวกับฟุตบอลให้กับสโมสรในยุโรปสโมสรไหนเลย แต่เขากลับได้เป็นคนยื่นคำขาดในการตัดสินใจให้กับสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษในขณะนั้นไปอย่างหน้าตาเฉย นับตั้งแต่นั้นมา ทีมแชมป์ยุโรป 3 สมัยไม่เพียงแต่มีการเซ็นสัญญาตัวนักเตะที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้น พวกเขายังคว้าตัวผู้จัดการทีมที่ไม่ได้รับเครื่องมือมากพอในการทำงานของเขาให้สำเร็จ เดวิด มอยส์ถูกไล่ออกหลังจากที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันประกาศวางมือไปประมาณ 1 ปี ภายใต้ตลาดการซื้อขายช่วงซัมเมอร์เดียวของเขานั้น ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัยมีข่าวเชื่อมโยงกับทั้งเชสก์ ฟาเบรกัสและโทนี่ โครส แต่พวกเขากลับได้ตัวมารูยาน เฟลไลนี่ มิดฟิลด์ร่างโย่งจากเอฟเวอร์ตันมาแทน การจัดการบริหารทีมที่ผิดพลาดยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาน กัลและโชเซ่ มูรินโญ่ ถึงแม้จะมีนักเตะจำนวนมากออกจากสโมสรไปในปี 2014 นักเตะที่สโมสรได้ตัวมานั้นกลับไม่เคยเป็นการเซ็นสัญญาในระยะยาวเลย อังเคล ดิ มาเรียเซ็นสัญญามาเกาะอังกฤษด้วยค่าตัวที่เป็นประวัติการณ์ แต่เขาไม่เคยต้องการที่จะอยู่กับสโมสรเพราะเป้าหมายของเขาคือการไปฝรั่งเศส ซึ่งเขาก็ย้ายไปในอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น เหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันอย่างราดาเมล ฟัลเกาก็ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในสโมสร แต่กลับไม่ได้โชว์ฟอร์มได้ใกล้เคียงกับความคาดหวังเลย ส่งผลให้นักเตะทั้งสองคนที่ได้เซ็นสัญญามาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 ก็ได้ออกจากสโมสรไปในปีถัดมา แต่อย่างไรก็ตาม ฟาน กัลก็ยังยืนยันที่จะใช้นักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีมเพื่อมอบบางสิ่งให้กับแฟนๆ ได้เชียร์ อองโตนี่ มาร์ซิยาลและมาร์คัส แรชฟอร์ดได้เข้ามาอยู่ในทีมชุดใหญ่และทำให้แฟนๆ ตื่นเต้นกับศักยภาพในเกมรุกของพวกเขา เมื่อคุณคิดว่าทีมชุดที่เต็มไปด้วยดาวรุ่งจะแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ฤดูกาล แมนเชสเตอร์…
ในขณะที่ช่วงจบฤดูกาลที่แล้ว โลกนั้นเต็มไปด้วยความหวัง และการมองในแง่บวกของแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหลังจากสโมสรของพวกเขานั้นจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ แต่ในช่วงซัมเมอร์นี้กลับเต็มไปด้วยความผิดหวังและความขุ่นมัวภายในใจ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพลาดตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลนี้หลังจากที่จบรองแชมปได้อย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อฤดูกาลก่อน ในปี 2020/21 แต่ถึงกระนั้น การมาถึงของเทน ฮากก็ได้มาเติมความหวังให้กับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดบางส่วน และมันก็ไม่มีทางไหนที่จะทำให้การมองโลกในแง่ดีนั้นหนักแน่นยิ่งขึ้นมากไปกว่าการที่บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเซ็นสัญญานักเตะระดับคุณภาพเข้ามาร่วมทีม เพราะงั้นพวกเรามาส่อง 5 นักเตะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดควรจะรีบคว้าตัวมาให้ได้ในซัมเมอร์นี้และเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงเลือกพวกเขาเหล่านี้ มาเริ่มกันเลย แฟนบอลในโลกทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นมีเกมรับที่แย่ที่สุดในบรรดาทีมที่จบอันดับ “ท็อปซิกส์” ทั้งหมดในศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว ไม่เพียงแค่พวกเขาจะเสียประตูเป็นจำนวนมากแล้ว แต่พวกเขายังก่อความผิดพลาดในแบบที่ทีมระดับท็อปนั้นไม่ควรจะเสียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยจำนวนเงินมหาศาลที่จ่ายไปให้กับนักเตะอย่างแฮร์รี่ แม็คไกวร์, แอรอน วาน บิสซาก้าและราฟาเอล วาราน แฟนบอลทุกคนคาดหวังเกมรับที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน มันยังคงไม่ชัดเจนว่ากองหลังคนไหนที่จะถูกปล่อยตัวออกจากสโมสรในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงการที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นต้องการที่จะเสริมกำลังในแนวรับเป็นอย่างมาก พวกเขาควรที่จะเล็งความสนใจไปที่มัทไธจส์ เดอ ลิกต์ของยูเวนตุส กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์นั้นรู้จักเอริค เทน ฮากเป็นอย่างดีในสมัยที่เขาค้าแข้งอยู่กับอาแจ็กซ์และเขาถือเป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดในฤดูกาล 2018/19 แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้โชว์ฟอร์มแกร่งตามเดิมเลยตั้งแต่ที่เขาย้ายมาอยู่กับยอดทีมแห่งเมืองตูริน ในขณะที่ตัวเขาเองได้แจ้งเรียบร้อยแล้วว่าเขาต้องการย้ายออกจากถิ่นม้าลายแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสามารถลองใจยูเวนตุสได้ด้วยการยื่นข้อเสนอพร้อมเงินจำนวนมหาศาลในช่วงซัมเมอร์นี้ เฟรงกี้ เดอ ยอง แน่นอนว่าเฟรงกี้ เดอ ยองถือเป็นข่าวลือการย้ายตัวที่ใหญ่ที่สุดประจำถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดในช่วงซัมเมอร์นี้ ความนิ่งที่เดอ ยองจะนำมาสู่แดนกลางของผีแดงนั้นเป็นอะไรที่แผงกลางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในฤดูกาล 2021/22 นั้นแทบหาไม่มีเลย สถานการณ์การเงินของบาร์เซโลน่านั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มิดฟิลด์ชาวดัตช์ย้ายมาสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อพิจารณาว่าเอริค เทน ฮากนั้นมีอิทธิพลในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่อาแจ็กซ์เป็นอย่างมาก เขาคงจะชอบไอเดียที่จะย้ายมาร่วมทัพผีแดงในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้าที่จะมาถึงนี้ มันก็ไม่ใช่ปัจจัยอะไรที่ใหญ่โตมากนักเมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ทางบาร์เซโลน่ากำลังมีปัญหาทางการเงินและต้องการกำจัดนักเตะของพวกเขาออกไปหลายคน เปาโล ดีบาล่า ภาพของดีบาล่าขณะลงสนามให้กับยูเวนตุสดวลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วการเซ็นเปาโล ดีบาล่าแบบฟรี ๆ ล่ะ น่าสนใจมั้ย? ในฤดูกาลที่พึ่งจบไป ราล์ฟ รังนิคบอกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นต้องการนักเตะมากกว่า 10 คน หากอยากจะต่อกรกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้และแย่งแชมป์มาจากพวกเขา ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยากกับการที่พวกเขาจะเซ็นสัญญานักเตะมากมายขนาดนั้น หากพวกเขาต้องการใช้จ่ายเงินในการซื้อตัวได้อย่างสบายใจ พวกเขาอาจจะต้องหานักเตะที่สามารถย้ายมาได้แบบฟรีๆ ได้บ้าง อย่างน้อยก็สัก 1-2 คน และในตลาดซื้อขายในซัมเมอร์นี้ ไม่มีนักเตะบิ๊กเนมคนไหนที่จะโดดเด่นไปกว่าเปาโล ดีบาล่าอีกแล้ว ศูนย์หน้าชาวอาร์เจนไตน์ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดของทีมในฤดูกาลที่น่าผิดหวังของยูเวนตุส…
พรีเมียร์ลีกกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาล 2022/23 พร้อมกับสโมสรน้องใหม่ 3 สโมสรที่มาแทนที่ 3 สโมสรที่ตกชั้นไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว บอร์นมัธกลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากหายหน้าหายตาไป 2 ปี ฟูแล่มก็กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไป 1 ปีและน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ที่กลับมาลงเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึง 23 ปี ถือเป็นเรื่องราวแห่งฤดูกาลที่แล้วเลยทีเดียว ทั้ง 3 สโมสรทุ่มเทและต่อสู้อย่างหนักเพื่อแย่งชิงตั๋วขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ออกสตาร์ทลีกแชมเปี้ยนชิพฤดูกาล 2020/21 ด้วยการอยู่ในโซนครึ่งล่างของตารางคะแนน ความตื่นเต้นจะรออยู่ในฤดูกาลใหม่อย่างแน่นอนและเหล่าทีมน้องใหม่ก็หวังที่จะโชว์ของในตอนที่พวกเขาต้องเจอกับขาใหญ่ประจำลีกในฤดูกาลหน้า วันนี้เรามาส่องเหล่าทีมน้องใหม่ที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมากัน เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหนในลีกสูงสุดของอังกฤษประจำฤดูกาล 2022/23 ที่กำลังจะมาถึงนี ฟูแล่ม ตั้งแต่ที่ฟูแล่มตกชั้นไปเมื่อฤดูกาล 2013/14 พวกเขามีปัญหาในการที่จะกลับขึ้นมาอยู่ในลีกสูงสุดและอยู่รอดปลอดภัยนานกว่า 1 ฤดูกาลอยู่เสมอ และนี่คือความหายนะที่พวกเขาอยากจะลบเลือนไปในขณะที่เตรียมตัวสำหรับฤดูกาลใหม่ ทีมเจ้าสัวน้อยที่ตอนนี้นำทัพโดยมาร์โก้ ซิลวา อดีตผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน, วัตฟอร์ดและฮัลล์ ซิตี้ จอมแทคติกชาวโปรตุเกสมีประสบการณ์ในลีกสูงสุดมาแล้ว แม้โชคก็ยังไม่เข้าข้างเขาเท่าไรนักในลีกนี้ อย่างไรก็ตาม เขากำลังจะกลับมาอยู่ในลีกพร้อมกับเหล่านักเตะที่เขาได้หล่อหลอมให้เป็นทีมในแบบที่เขาหวังที่จะสร้างแล้ว ทีมภายใต้การนำทัพของซิลวากำลังสนุกกับยุคแห่งการฟื้นฟูเพื่อกลับมาอยู่ในจุดที่พวกเขาควรจะอยู่ นักเตะที่มีการพัฒนามากที่สุดของพวกเขาคือฌ็อง มิเชล เซรี่ ฉายา “ซาบี้แห่งแอฟริกา” นักเตะที่ฟูแล่มคว้าตัวมาเนื่องจากการที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ในพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หลังจาก 1 ฤดูกาลที่ผ่านไปโดยที่เขาไม่มั่นใจว่าจะลงเล่นแบบไหนภายใต้การคุมทีมของสก็อตต์ ปาร์คเกอร์ เขาได้กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้งโดยมีซิลวาคอยชี้ทางสว่างให้เขา นักเตะอีกคนที่โชว์ฟอร์มได้ดีในฤดูกาลที่ผ่านมาและกำลังตั้งหน้าตั้งตารอลงเล่นในพรีเมียร์ลีกก็คือนีสเกนส์ เคบาโน่ ปีกทีมชาติคองโกที่อยู่กับฟูแล่มมาแล้วถึง 6 ปี แม้จะเป็นนักเตะที่ได้ลงบ้างไม่ได้ลงบ้าง การคุมทีมของซิลวาได้ปลดล็อกความสามารถในตัวเขาและปีกวัย 30 ปีก็ได้กลายมาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมของทีม ด้วยสถิติยิง 9 ประตูบวกกับ 6 แอสซิสต์จากการลงสนาม 40 เกม แถมยังเป็นหนึ่งในนักเตะตัวหลักและโดดเด่นภายในทีมอีกด้วย ฟูแล่มได้เริ่มลงตลาดซื้อขายในซัมเมอร์นี้แล้วและมีข่าวเชื่อมโยงกับผู้รักษาประตูของอาร์เซน่อลอย่างแบรนด์ เลโน่ ซึ่งพวกเขากำลังมองหานักเตะที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกเพื่อมารวมทีมเป็นหนึ่งเดียวในฤดูกาลหน้า กองหลังของเวสต์แฮมอย่างอาร์เธอร์ มาซูอาคูก็มีข่าวเชื่อมโยงกับทีมเจ้าสัวน้อยด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็คือการตัวแทนของฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ที่พึ่งย้ายซบลิเวอร์พูลหลังจากที่พวกเขา การันตีการคว้าตั๋วเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาร์วัลโญ่มีส่วนร่วมกับ 43 ประตูโดยมีอเล็กซานดาร์ มิโตรวิชอยู่ในแนวรุก บวกกับ 10 ประตูพร้อมกับ 8 แอสซิสต์สำหรับประตูทั้งหมด 106 ประตูที่ฟูแล่มยิงไปในแชมเปี้ยนชิพพร้อมก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์แรกได้ในรอบ 21 ปี ซิลวารู้ดีว่าเขาต้องการนักเตะจอมถล่มประตูมาเติมทีมเพื่อพาทีมอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกและจะเน้นไปที่การมองหาตัวแทนของคาร์วัลโญ่ในขณะที่จัดการกับเรื่องต่างๆ ในทีมเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับฤดูกาลใหม่ บอร์นมัธ ทัพเดอะเชอร์รีส์กำลังจะกลับมาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกหลังจากหายหน้าหายตาไป…
ซาดิโอ มาเน่มีโอกาสที่จะย้ายออกจากลิเวอร์พูลหลังจากที่เขานำความรุ่งโรจน์มาสู่แอนฟิลด์เป็นเวลากว่า 6 ปี ลิเวอร์พูลคงจะไม่พาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้หากพวกเขาจัดการต่อสัญญาและป้องกันไม่ให้สัญญาของมาเน่เข้าสู่ช่วงปีสุดท้าย แต่ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อถึงจิตวิญญาณของทีมกลับมาในช่วงเวลาสุดเปราะบางหลังจากทีมคู่แข่งแย่งแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าพึ่งคว้าตัวเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ไป สโมสรกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อรั้งให้มาเน่อยู่ต่อ แต่ความเป็นไปได้นั้นมีเพียงน้อยนิดเพราะมาเน่นั้น อายุแต่หลัก 30 แล้ว และน่าจะเหลือโอกาสเซ็นสัญญาเพื่อรับเงินก้อนโตได้อีกเพียงครั้งเดียวเป็นสัญญาสุดท้าย ทำให้เขานั้นกำลังดึงเชิงและต่อรองกับทุกทีมเพื่อรอรับเงินก้อนโตอยู่ มีรายงานว่าศูนย์หน้าดีกรีแชมป์แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่น 2021 นั้นไม่มีความต้องการที่จะต่อสัญญาใหม่กับสโมสรในถิ่นแอนฟิลด์ แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถึงช่วงของปรีซีซั่น แต่ถึงกระนั้น ทางลิเวอร์พูลกำลังรอข้อเสนอระดับ 40 ล้านปอนด์จากสโมสรใดก็ตามที่สนใจในตัวของมาเน่ในช่วงซัมเมอร์นี้ บาเยิร์น มิวนิคเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ที่สนใจมาเน่เนื่องจากพวกเขาเตรียมตัวที่จะเสียศูนย์หน้าระดับบิ๊กเนมอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้และต้องการหาตัวแทน ตัวแทนที่ไม่เพียงแต่เล่นเกมรุกได้เท่านั้น แต่จำเป็นจะต้องทำประตูได้อีกด้วย การที่บาเยิร์นจะคว้าตัวมาเน่นั้นเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ลิเวอร์พูลควรจะทำทุกวิถีทางที่จะรั้งตัวปีกตัวเก่งของพวกเขาเอาไว้ ในส่วนที่เหลือของบทความนี้ พวกเราจะเจาะลึกถึงความสนใจในตัวของปีกดาวเด่นวัย 30 ปีของบาเยิร์นและเหตุผลอื่นๆ ที่ว่าทำไมหงส์แดงควรที่จะทำทุกๆ ทางที่จะเก็บมาเน่เอาไว้ ความอันตรายของบาเยิร์นในเวทียุโรป ลิเวอร์พูลเคยคว่ำบาเยิร์นมาแล้วในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในตอบที่ทั้งคู่มาพบกันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อฤดูกาล 2018/19 บาเยิร์นยันเสมอหงส์แดงได้แบบไร้สกอร์ในเกมนัดแรกที่แอนฟิลด์ แต่กลับพ่ายแพ้ไป 1-3 คาบ้านของตัวเองในเกมนัดที่สอง และชัยชนะนั้นไม่ได้มาจากใครที่ไหนนอกจากมาเน่ ที่เป็นคนยิงเบิ้ลในเกมนั้นจนเขี่ยทีมแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก 6 สมัยตกรอบ ต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขาเอง ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบเข้าไปคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลนั้นหลังจากที่พลิกนรกผ่านบาร์เซโลน่าได้ในรอบรองชนะเลิศและในรอบชิงชนะเลิศลิเวอร์พูลก็เป็นฝ่ายครองเกมอยู่ฝั่งเดียวและเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์สไปได้ 2-0 นับตั้งแต่นั้น ลิเวอร์พูลได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้ถึง 2 ครั้งและผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศอีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นการเข้าชิงถึง 3 ครั้งในรอบ 6 ปีที่มาเน่อยู่กับสโมสร นอกจากนี้ ในช่วงเวลานั้น มาเน่ได้กลายมาเป็นนักเตะที่ยิงประตูสูงที่สุดในเกมรอบน็อคเอาท์ในแชมเปี้ยนส์ลีกของประวัติศาสตร์สโมสรลิเวอร์พูล (ในยุคที่ใช้ชื่อยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ด้วยจำนวน 14 ประตูใน 5 ฤดูกาลกับหงส์แดง ในขณะเดียวกัน มีรายงานว่าบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลต่อมาหลังจากที่มาเน่และลิเวอร์พูลบุกมายำใหญ่ใส่พวกเขาถึงถิ่นอาลิอันซ์ อารีน่านั้นได้แสดงความสนใจในตัวของดาวเตะทีมชาติเซเนกัลตั้งแต่ในตอนที่เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกับลิเวอร์พูลและคว่ำพวกเขาได้…
ฤดูกาล 2021/2022 ก็เข้าสู่ช่วงปิดฤดูกาลแล้ว ก็เป็นช่วงที่แฟนบอลจะหงอย ๆ กันเล็กน้อย เพราะไม่มีฟุตบอลลีกให้ดูเหมือนเคย และว่างกว่าช่วงปกติเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อแก้เบื่อให้ทุกท่าน เราจะมารีวิวฤดูกาลนี้กัน โดยวิธีที่เราชอบทำและคิดว่าน่าสนใจก็คือการคัดทีมยอดเยี่ยม โดยคัดสรรเหล่าผู้เล่นที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในตำแหน่งของตัวเอง และนำมารวมกันเป็นทีมเดียว เพื่อดูว่ามีใครที่ทำผลงานได้น่าสนใจบ้าง ในฤดูกาลนี้ วันนี้เราขอเสนอ 11 นักเตะยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021/2022 โดยเรียงตามตำแหน่ง ตั้งแต่ผผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้า ตำแหน่งละหนึ่งคน เราได้เลือกแผน 4-3-3 มาใช้ในบทความนี้ เพราะเป็นแผนของทีมแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้รักษาประตู : เอเดอร์สัน ในทีมที่มีเกมรุกที่จัดจ้านและอันตรายที่สุดในลีก เอเดอร์สันยังแสดงให้เราดูอยู่เสมอ ว่าทำไมเขาถึงคู่ควรกับตำแหน่งผู้รักษาประตูในทีมแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นายด่านชาวบราซิลเลี่ยนเก็บได้ถึง 20 คลีนชีตในฤดูกาลนี้ ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลถุงมือทองคำได้ด้วย โดยเป็นรางวัลถุงมือทองคำร่วมกับเพื่อนร่วมชาติของเขาอย่าง อลิสซอน โดยพวกเขายังเสีย 26 ประตูเท่ากันอีกด้วย อย่างไรก็ดี เราคิดว่าผลงานการเซฟของเอเดอร์สัน มีผลต่อการคว้าแชมป์ของทีมมากกว่า เซฟสำคัญที่สุดของเอเดอร์สันในฤดูกาลนี้น่าจะเป็นเซฟในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ขณะที่พวกเขากำลังตามหลังวิลล่าอยู่ 2-0 ในครึ่งหลัง หากเอเดอร์สันเซฟลูกยิงนั้นไม่ได้ และทำให้ทีมตามหลังเพิ่มเป็น 3-0 เราคิดว่าซิตี้ไม่น่าจะกลับมาเอาชนะได้เหมือนเดิมแน่ ๆ เพราะ 3-0 ดูจะเป็นระยะห่างที่มากไปหน่อย ในการที่พวกเขาจะต้องรัวถึงสี่ลูกรวดในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และจะทำให้พวกเขาพลาดแชมป์ในฤดูกาลนี้ด้วย เพราะลิเวอร์พูลเอาชนะวูล์ฟได้ในเกมสุดท้าย แบ็คขวา : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นผู้เล่นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในฤดูกาลก่อน ๆ ในเรื่องของเกมรับของเขา โดยนักวิจารณ์หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แบ็คขวาชาวอังกฤษนั้นเล่นเกมรุกได้ดีก็จริง โดยเฉพาะเวลามีบอลที่ทำได้ดีมาก แต่ก็เป็นบ่อน้ำมันในแผงหลังที่คู่แข่งเจาะได้บ่อยครั้งเหมือนกัน และทำให้ทีมเสียประตูเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมในฤดูกาลนี้ และลบทุกข้อกังขาได้สำเร็จ เขาได้พิสูจน์แล้วว่านอกจากเขาจะเล่นเกมรุกได้ดี โดยการทำไปถึง 12 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้แล้ว เขายังพิสูจน์อีกว่าเขายังเล่นเกมรับได้ดีด้วยเช่นกัน และเป็นคีย์แมนสำคัญช่วยให้ลิเวอร์พูลนั้นเก็บได้ถึง 20 คลีนชีตมากที่สุดในลีกในฤดูกาลนี้ เซนเตอร์ : เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กูรูฟุตบอลจำนวนมากเชื่อว่าการที่ลิเวอร์พูลฟอร์มรูดจนเกือบไม่ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลที่แล้วนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการขาด เวอร์จิล ฟาน…
บทนำ: ถ้าเราย้อนกลับไปดูเมื่อช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้คือทีมที่มีแต่ขาขึ้น และขึ้นถึงจุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษได้สำเร็จ ซิตี้เป็นทีมที่ดูแล้วสมบูรณ์แบบ และนั่นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในโลกฟุตบอล ถ้าเราลองที่จะหาเหตุผลว่าทำไมแมนฯ ซิตี้ถึงประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ คำตอบแรกที่จะผุดขึ้นมาในหัวใครหลาย ๆ คนก็คงเป็นการที่ทีมเรือใบสีฟ้ามีกุนซือ อย่าง เป็ป กวาดิโอล่า กุนซือจอมพลิกสถานการณ์ทีมอยู่ แต่ถึงเป็ปจะเป็นกุนซือสมองเพชรแค่ไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่แมนฯ ซิตี้มีการเงินที่ดี และมีงบประมานอย่างเหลือเฟือให้ช็อปปิ้งนักเตะทุกปีนั้นส่งผลโดยตรงกับความสำเร็จของพวกเขาอย่างมาก การทุ่มเงินซื้อเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ มาจากดอร์ตมุนด์ก็เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งของข้อดีในการมีเงินเยอะเท่านั้น เรารู้สึกว่าเราควรพูดถึงการคว้าแชมป์ลีกของซิตี้ในปีก่อนให้มากกว่านี้หน่อย รวมถึงเรื่องของเหตุผลต่าง ๆ ว่าทำไมกองหน้าที่เนื้อหอมที่สุดในโลกในตอนนี้อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ถึงเลือกที่จะเซ็นสัญญากับทีมเรือใบสีฟ้า แทนที่จะเป็นทีมอื่น ๆ บนโลก ที่ล้วนอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีมกันทั้งนั้น บทความนี้ท่านไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เราลองไปดูกันเลย แมนฯ ซิตี้ และ พรีเมียร์ลีก; เรื่องราวความรักของจริงยิ่งกว่าละคร อย่างที่ทราบกันดีว่า พรีเมียร์ลีกคือลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกด้วยในปัจจุบัน ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงในหมู่แฟน ๆ อยู่ว่าลีกไหนกันแน่ ที่เป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น อย่างน้อยก็ในอังกฤษ ที่พรีเมียร์ลีกถือเป็นจุดสูงสุดของฟุตบอล และเฉพาะทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้น ที่จะมีวาสนาได้จับถ้วยใบนี้ และถ้าเราจะบอกคุณว่า มีทีมทีมหนึ่ง ที่คว้าแชมป์ในลีกสุดหินนี้ได้ถึงสี่ครั้งจากห้าปีหลังสุด คุณจะเชื่อหรือไม่ เพราะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำสิ่งที่เราพูดไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการเข้ามาของเป็ป กวาดิโอล่า ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของทีม และพัฒนาทีมให้ก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เพราะปีนี้นั้นเป็นเพียงปีที่ห้าของเป็ปกับซิตี้เท่านั้น เราลองมาดูกันว่าเป็ปมีวิธีอย่างไร ในการผูกขาดแชมป์ลีกได้ขนาดนี้ ภาพการฉลองแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2020 แชมป์ลีกสี่สมัยในห้าปี – ลองย้อนเวลากลับไปสัก 5 ปี ในฤดูกาล 2017/2018 ของซิตี้นั้น ถือว่าทีมทำผลงานได้อย่างไร้ที่ติ โดยการเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่เก็บได้ถึง 100 คะแนนในฤดูกาลเดียว ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะคว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้นได้ รวมถึงป้องกันแชมป์ได้อีกสมัยในปีถัดไปด้วย หลังจากพลาดแชมป์ไปในปี 2019/2020 แมนฯ ซิตี้ก็กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในปีถัดมา โดยทิ้งห่างอันดับสองอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน คว้าแชมป์ลีกสมัยที่สามในรอบสี่ปีได้สำเร็จ แต่สถิติของพวกเขามันยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ รีวิวฤดูกาล 2021/2022 แบบสั้น ๆ…
พรีวิว: ในบทความนี้ พวกเราจะมาพูดถึงหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่ดีที่สุดของยุคนี้ – วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวยิงทีมชาติบราซิลที่สร้างชื่อไปทั่วยุโรป เขาเคยเล่นให้กับฟลาเมงโก้ซึ่งเขาได้รับโอกาสน้อยมาก แต่การยิงเพียงประตูเดียวในรอบชิงชนะเลิศก็เพียงพอที่จะขีดเขียนชะตากรรมของเขา มันเป็นประตูในแบบที่คุณจะเข้าไปถล่มแชทในกลุ่มแชทกับเพื่อน ๆ ของคุณและชื่นชมนักเตะที่ทำประตูได้ เอาล่ะ เรามาเจาะลึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของเขากันดีกว่า นักเตะโนเนมที่ไม่เหมาะกับมงกุฎแห่งราชันของรีล มาดริด: ในปี 2018 รีล มาดริดประกาศคว้าตัวดาวรุ่งโนเนม – วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวรุ่งจากบราซิล วินิซิอุสนั้นไม่เคยได้รับความสนใจเลย และแฟนบอลก็แสดงอารมณ์ประมาณว่า “ก็แค่ดาวรุ่งคนหนึ่งเท่านั้นแหละ” คริสเตียโน่ โรนัลโด้ย้ายออกจากทีม เช่นเดียวกับซีเนอดีน ซีดาน แต่รีล มาดริดกลับไม่มีการนำเข้านักเตะตัวรุกระดับบิ๊กเนมเข้ามาเลย ในฤดูกาลแรกของเขากับทีม วินิซิอุสเริ่มต้นได้ดี เขาลงสนามไป 36 เกมพร้อมกับยิงไป 7 ประตูบวกกับ 13 แอสซิสต์อีกด้วย ถือว่าเลวสำหรับดาวรุ่งป้ายแดงของทีม ในฤดูกาลถัดมา (ฤดูกาล 2019/20) นั้นถือเป็นการทดสอบของจริงสำหรับดาวยิงชาวบราซิลและหากจะบอกว่าผลงานของเขาในฤดูกาลนั้นถือว่าน่าผิดหวังก็คงจะไม่ผิดมากนักเนื่องจากเขาทำได้เพียง 5 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ในทั้งหมด 38 เกมที่เขาลงสนาม เขาพลาดโอกาสง่ายๆ มากมายและมักจะสับสนในตอนที่อยู่หน้าประตูของฝั่งตรงข้าม ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับความกดดันที่ถาโถมเข้าหาตัวเขาหรือไม่ แต่ลูกยิงของเขามักจะลอยโด่งขึ้นฟ้าอยู่เสมอ เขาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนที่จะเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของคริสเตียโน่ในมาดริดเลยแม้แต่น้อย เจ้าหนูนี่มีความเร็วและความสามารถในการเลี้ยงบอล แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้ส่องประตู เหล่าแฟนบอลถึงกับ “ถอนหายใจ” ด้วยความผิดหวัง มีบ้างที่เขาโดนวิจารณ์ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนวิจารณ์ที่หนักจนเกินไปและทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเขาทำประตูได้ไม่ถึง 40 ประตูต่อฤดูกาล แต่เป็นเพราะเขาพลาดโอกาสง่ายๆ นั่นเอง แต่เส้นทางก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเลยสำหรับเจ้าหนูอยู่ดี เนื่องจากฤดูกาลถัดมา (ฤดูกาล 2020/21) ยิ่งกลายมาเป็นความผิดหวังยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขามีโอกาสลงสนาม 49 นัด น่าผิดหวังที่เขายิงได้เพียง 6 ประตูพร้อมกับ 7 แอสซิสต์ ตัวผู้จัดการทีมนั้นเชื่อมั่นในตัวเขา แต่โชคชะตากำลังเล่นตลกกับวินิซิอุสอยู่ดี คาร์โล อันเชล็อตติทำยังไงถึงดึงฟอร์มที่สุดยอดของวินิซิอุสออกมาจนได้กันล่ะ? ในทุกๆ เรื่องราวนั้น จุดเริ่มต้นของตัวเอกนั้นไม่ได้ดีเลิศนัก พวกเขาพ่ายแพ้, ร้องไห้และเจอหลายสิ่งอย่างที่น่าผิดหวัง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยขาดคือความมุ่งมั่นและความตั้งใจของพวกเขาที่จะพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขานั้นผิดและนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวรุ่งของรีล มาดริด เมื่อฤดูกาล 2021/22 มาถึงและรีล มาดริดได้โค้ชคนใหม่ นั่นคืออดีตกุนซืออย่างคาร์โล…
บทนำ: มีหลายครั้งในอาชีพการค้าแข้งของเขาที่ผู้คนตั้งข้อสงสัยในตัวของลิโอเนล เมสซี่ บอกว่าเขาหมดแล้ว แต่เขาก็มักจะกลับมาพร้อมกับฟอร์มระดับคุณภาพและเหนือธรรมชาติอยู่เสมอ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งแก่ ยิ่งเก๋า นักเตะประเภทที่จะทำให้คุณต้องตะลึง ไม่ว่าเขาจะเคยเป็นนักเตะที่น่าอัศจรรย์และเปี่ยมไปด้วยพลังในวัย 20 ปีหรืออัจฉริยะด้านแทคติกในวัย 35 ปี เมสซี่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดการเดินทาง 17 ปีของเขาในเส้นทางฟุตบอลอาชีพ แต่ทุกๆ ครั้ง เขาก็จะผ่านมาได้ด้วยอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และเป็นอีกครั้งที่เขาถูกตั้งข้อสงสัยว่า ‘หมด’ หลังจากที่เขาย้ายมาร่วมทีมเปแอสเช แต่เราจะบอกพวกคุณทุกคนถึง 5 เหตุผลที่ว่าทำไมลิโอเนล เมสซี่ถึงยังห่างไกลจากคำว่าแขวนสตั๊ด! เขามีภารกิจที่กำลังรอเขาอยู่! 1. เขายังเป็นตัวชูโรงของรายการโคปา อเมริกา ในขณะเสียงวิจารณ์ที่เกี่ยวกับลิโอเนล เมสซี่นั้นกำลังพูดถึงฟอร์มของเขาที่ตกลงไป แต่ฟอร์มช่วงล่าสุดของเขาแสดงให้เห็นว่ามันกลับตรงกันข้าม เราอยากที่จะใช้เสรีภาพและบอกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเส้นทางการค้าแข้งของเขาและนี่คือเหตุผลว่าทำไม: ตำนานของอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์และรางวัลทุกรายการในเส้นทางการค้าแข้งของเขามาหมดแล้ว แต่มีถ้วยรางวัลรายการหนึ่งที่ยังหายไปในตู้โชว์โทรฟี่ของเขาและนั่นเป็นถ้วยรางวัลระดับนานาชาติ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ลงเล่นในเกมรอบชิงชนะเลิศทั้ง 4 รายการสำคัญกับอาร์เจนติน่ามาแล้วก็ตาม ซึ่งรวมถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ต้องแพ้ไปอย่างน่าเศร้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมสซี่ก็ทำได้ซักที ในปี 2021 ลิโอเนลกลายมาเป็นนักเตะที่ฉายเดี่ยวแบกทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โคปา อเมริกา แชมป์ระดับนานาชาติที่เขาถวิลหามานาน เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการมีส่วนร่วมถึง 9 จาก 12 ประตูที่อาร์เจนติน่าทำได้ นั่นมันฟอร์มระดับเวิร์ดคลาสเลยล่ะ! เขาทำแอสซิสต์ไป 5 ครั้งบวกกับอีก 4 ประตู ทำให้เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อีกด้วย ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้ชัยชนะครั้งนี้น่าดีใจขึ้นไปอีก เพราะอาร์เจนติน่ายังคว่ำทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างบราซิลได้ในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย มันจะมีอะไรที่เจ๋งไปกว่านี้อีกกันล่ะ 2. บัลลงดอร์สมัยที่ 7 และ รางวัลปิจิจิสมัยที่ 8 ในปี 2021 ซึ่งก็ย้อนไปไม่นานหลังจากตอนที่เรากำลังเขียนบทความนี้ ดูเหมือนว่าลิโอเนล เมสซี่กำลังอยู่ในช่วงพีคของเขาโดยการแบกบาร์เซโลน่าในลาลีก้าด้วยทีมที่เน่าเฟะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเงินและมุมมองทางด้านกีฬา แถมเขายังคว้ารางวัลปิจิจิสมัยที่ 8 ในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของลาลีก้าในปี 2021 อีกต่างหาก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงแชมป์โคปา เดล เรย์กับบาร์ซ่า ซึ่งเขาคว้าแชมป์ได้ก่อนที่จะโชว์ของในโคปา อเมริกาใน ปีเดียวกันนั่นเอง ทำให้เมสซี่คว้ารางวัลบัลลงดอร์เป็นสมัยที่ 7 และเป็นช่วงเวลาเพียง 6 เดือนที่เขาได้ประกาศตัวเองเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ 3. ปีที่หลายคนมองข้ามในเปแอสเช หลังจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับผู้บริหารของบาร์เซโลน่า ลิโอเนล เมสซี่ต้องออกจากสโมสรแห่งชีวิตของเขาในปี…
เบรนท์ฟอร์ดกลายมาเป็นทีมที่ 50 ที่มีโอกาสได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกในตอนที่พวกเขาได้สิทธิ์ในการเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพในฤดูกาล 2020/21 ในฤดูกาลแรกของพวกเขานั้นก็ถือว่าน่าประทับใจ ก่อนหน้าเบรนท์ฟอร์ด มันเป็นเวลากว่า 8 ปีนับตั้งแต่ที่สโมสรได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกที่เลื่อนชั้นมาจากเกมเพลย์ออฟของลีกแชมเปี้ยนชิพนั้นสามารถจบอันดับได้สูงกว่าอันดับที่ 15 โดยเบรนท์ฟอร์ดที่นำทีมโดยผู้จัดการทีมอย่างโธมัส แฟรงค์นั้นจบอันดับสูงสุดที่อันดับที่ 13 ในตารางคะแนน ฟอร์มอันย่ำแย่ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน แถมอีกครั้งในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์นั้นทำให้พวกเขาเริ่มแสดงความกังวลออกมา แต่พวกเขาก็โชว์ฟอร์มกลับเข้าฝั่งมาจนได้ แฟรงค์ยังมีชื่อเข้าชิงรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำปีของพรีเมียร์ลีกเนื่องจากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมที่เขาแสดงฝีมือออกมากับทางสโมสรและตอนนี้ เหล่าบรรดาสโมสรในพรีเมียร์ลีกก็ได้รับรู้ถึงพิษสงของทีมหน้าใหม่นี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะสามารถจบฤดูกาลที่จะถึงนี้ด้วยอันดับที่ดีกว่าอันดับที่ 13 ของฤดูกาลที่แล้วได้หรือไม่? ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์สิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อให้จบใน 10 อันดับแรกของฤดูกาล 2022/23 ในพรีเมียร์ลีก รีวิวเบรนท์ฟอร์ดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021/22 ครั้งแรกที่เหล่าผึ้งพิฆาตได้ขึ้นมาวาดลวดลายในพรีเมียร์ลีกนั้นเป็นไปอย่างสุขุม ปกติแล้วทีมจะทุ่มเงินในการคว้าตัวนักเตะเพื่อเตรียมตัวในลีกที่ดีที่สุดบนเกาะอังกฤษ แต่เบรนท์ฟอร์ด กลับทำการคว้าตัวนักเตะหน้าใหม่เพียง 3 คนเท่านั้น โดยพวกเขาเก็บนักเตะตัวหลักที่เคยช่วยทีมให้เลื่อนชั้นขึ้นมาได้ในฤดูกาลที่แล้วเอาไว้ได้อีกด้วย เช่นเดียวกับในแชมเปี้ยนชิพฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาใช้งานอีแวน โทนี่ย์ซึ่งยิงได้ 12 ประตูในพรีเมียร์ลีก แต่พวกเขามีนักเตะถึง 5 คนที่ทำได้ 3 ประตูขึ้นไปในลีกให้กับทีม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันของแฟรงค์เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนภายในทีมจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อเอาคว้าชัยชนะในเกมที่พวกเขาจำเป็นจะต้องเอาชนะให้ได้เพื่อทำให้ทีมอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก พวกเขายังมุ่งเน้นไปที่ลูกตั้งเตะเพื่อสร้างโอกาสส่วนใหญ่ซึ่งนำไปสู่ประตูจำนวนมากให้กับทีมและการเซ็นสัญญา คริสเตียน อีริคเซ่นมีส่วนกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การจ่ายบอลของเขานั้นยอดเยี่ยมและมันพิสูจน์ได้จากการที่เบรนท์ฟอร์ดจบฤดูกาลในฐานะทีมที่มีโอกาสจากลูกตั้งเตะมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในลีกอีกด้วย แฟรงค์ไม่แคร์ที่จะเปลี่ยนแทคติกเพื่อให้เหมาะสมกับคู่แข่งที่แตกต่างกัน เขาเริ่มด้วยระบบ 3-5-2 ซึ่งแพ้ไปเพียงเกมเดียวจาก 7 เกมแรกของฤดูกาล เขายังคงใช้ระบบนั้นต่อกับอีก 20 เกมถัดมา แต่เขาก็มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างๆ ระหว่างเกมตามแทคติกของคู่แข่ง ในช่วง 11 เกมสุดท้ายก่อนจบฤดูกาล เขาเปลี่ยนมาเล่นในระบบ 4-5-1 พร้อมกับคว้าชัยไปถึง 7 ใน 11 เกมดังกล่าวซึ่งทำให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยในลีกได้สำเร็จ แฟรงค์ยังเลือกที่จะใช้สไตล์การสวนกลับสุดคลาสสิคของพรีเมียร์ลีกโดยการให้เบรนท์ฟอร์ดไม่ต้องครองบอลมากนักแต่เล่นเกมรุกให้บ่อยกว่าคู่แข่งอีกด้วย ความพ่ายแพ้ 18 เกมในลีกของพวกเขานั้นเป็นเกมที่หนักหน่วง แต่มันก็เป็นเกมการแข่งขันที่พวกเขาทำให้คู่แข่งนั้นต้องพบกับความยากลำบากเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้แฟรงค์มีเรื่องที่ให้คิดมากมายและเช่นเดียวกับผู้จัดการทีมทุกคน เขาจะต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงนักเตะภายในทีม กำจัดอาถรรพ์ของฤดูกาลที่สอง มี 2 องค์ประกอบหลักที่เกี่ยวข้องกับการจบ 10 อันดับแรกในทุกๆ ลีก อย่างแรกคือต้องเชื่อว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะอยู่ในลีก นี่คือความแตกต่างระหว่างการพบกับคู่แข่งครึ่งทางเพื่อให้พวกเขาต้องพบกับเกมการแข่งขันที่ดุเดือดกับการลงสนามโดยไม่เสียประตู ซึ่งมักจะจบลงด้วยความล้มเหลวสำหรับทีมที่มีแนวคิดแบบนั้น อย่างที่สองก็คือการยิงประตูให้มากกว่าคู่แข่ง นั่นหมายความว่าแฟรงค์จำเป็นจะต้องหาดาวยิงจอมถล่มประตูมาช่วยโทนี่ย์ เขาทำได้ดีโดยการที่ทั้งทีมสามารถสร้างโอกาสได้มากมาย แต่การยิงได้ 48 ประตูจาก 38 นัดในลีกนั้นหมายความว่างพวกเขายิงประตูเฉลี่ยนัดละ…