จะมีใครที่จะหยุดความร้อนแรงของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในลีกอังกฤษได้หรือไม่? นั่นเป็นคำถามใหญ่เพียงข้อเดียวที่ดูจะตอบยากเอาการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำตอบก็คือมี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นหลายๆ ลีกทั่วยุโรปถูกขนานนามว่า ‘ลีกชาวนา’ คำนี้ใช้โดยทั่วไปแล้วเป็นคำที่เสื่อมเสียเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ลีกที่ไม่มีการแข่งขันที่สูสีและถูกครอบงำโดยสโมสรใดสโมสรหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อย่างลีกบุนเดสลีกา, ลีกเอิงและเซเรีย อาก็ถือเป็นตัวการสำคัญของ ‘คำ’ นี้อีกด้วย

คำว่า ‘ลีกชาวนา’ ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในหมู่แฟนบอลชาวอังกฤษที่เชื่อว่าพรีเมียร์ลีกนั้นเป็นลีกที่เหนือกว่าหลายๆ ลีก ลีกซึ่งที่ใครๆ ก็รู้อยู่ตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลแล้วว่าใครจะเป็นแชมป์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พรีเมียร์ลีกในปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเป็นลีกที่ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ และมีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก

ในช่วงก่อนเปิดทุกๆ ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก มีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ 4-5 ทีม โดยเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถท้าชิงตำแหน่งแชมป์ได้ ซึ่งนำไปสู่ทีม ‘บิ๊กซิกซ์’ ที่มีชื่อเสียง ในที่อื่นๆ บางคนมีความเห็นว่าสำหรับลีกสูงสุดในทั้งฝรั่งเศส, เยอรมนีและอิตาลีนั้น มันง่ายมากกับการที่จะบอกว่าใครจะเป็นแชมป์ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด และมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมพรีเมียร์ลีกถึงยังไม่ถูกเรียกว่า ‘ลีกชาวนา’ ซักที และนอกเหนือจากลิเวอร์พูลที่ทำให้ลูกทีมของกวาร์ดิโอล่าต้องเจอกับงานหนักในช่วงฤดูกาลที่พึ่งจบลงไป ซิตี้นั้นมีคะแนนนำทีมอันดับที่ 3 อย่างเชลซีมากสุดกู่ถึง 19 คะแนนและนั่นก็บอกอะไรเราได้เยอะเลยล่ะ

ตั้งแต่ตอนที่เป็ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในปี 2016 พวกเขากลายมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมในการครองลีกอังกฤษและคุณแทบจะเดาได้เลยว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ได้ก่อนที่ฤดูกาลจะเปิดซะอีก แต่เรือใบสีฟ้าไม่ได้ผงาดขึ้นมาครองลีกได้โดยใช้เวลาเพียงวันเดียวและพวกเราจะมาเจาะลึกกันดูว่าอะไรคือสิ่งที่ทีมอื่นๆ จะสามารถทำได้เพื่อลดช่องว่างระยะห่างของทีมและยุติการผูกขาดของฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เงินที่จะต้องใช้สู

แน่นอนว่ากวาร์ดิโอล่าจะได้รับคำชื่นชมมากมายสำหรับการสร้างทีมที่ค่อนข้างยากในการที่จะเอาชนะได้ แต่จะมีซักกี่ทีมที่จะมีอำนาจในเรื่องการเงินมากเท่ากับที่ทีมเรือใบสีฟ้ามีกันล่ะ?

โชคดีที่เชลซีได้อบราโมวิชเข้ามาซื้อสโมสรในปี 2003 ซึ่งก็เช่นเดียวกับซิตี้

ในตอนที่ถึงคราวที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ประสบความสำเร็จ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องของเงินจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง สโมสรที่ร่ำรวยที่สุดมักจะได้รับการพูดถึงในแนวนั้นบ่อยที่สุดและแนวโน้มนั้นก็เพิ่มขึ้นทุกวันในฟุตบอลสมัยใหม่นี้ ในฝรั่งเศส เปแอสเชถือเป็นคำอธิบายแนวโน้มนี้ได้ดีที่สุด

แน่นอนว่าซิตี้ก็ไม่ต่างกัน ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะใช้เงินมากมายมหาศาลตั้งแต่ชีค มานซูร์เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรในปี 2008 ด้วยเหล่านักเตะที่มีความสามารถมากมายอยู่รายล้อมตัวเพื่อให้กวาร์ดิโอล่าได้ยัดคุณภาพในการหล่อหลอมทีมของเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรจอมถล่มประตู

เมื่อพูดถึงเรื่องการเงิน มีเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ในพรีเมียร์ลีก เชลซีเคยมีอำนาจมากขนาดนั้นเช่นกัน แต่การที่ท็อดด์ โบห์ลีเข้าซื้อกิจการของสโมสรเมื่อไม่นานนี้ทำให้สิงห์บลูส์อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจไม่ใจปล้ำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ในบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ 6 ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้มีอำนาจทางการเงินที่มากที่สุดและสิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบเหนือคู่แข่งก่อนที่จะเปิดฤดูกาลด้วยซ้ำ นิวคาสเซิลยังอาจเป็นที่คุกคามพวกเขาได้มากที่สุดแล้วในตอนนี้ จากการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุดโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะซาอุดิอาระเบีย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังต้องใช้เวลาอีกนานในการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันและหากลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตัวเอง

นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่สามารถทำให้ซิตี้แซงหน้าทีมอื่นได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ยิ่งอำนาจทางการเงินระหว่างพวกเขาและทีมอื่นๆ ลดลงได้เร็วเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งได้เปรียบน้อยลงในการทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งเพื่อดึงดูดเหล่าบรรดานักเตะ

มีรูปแบบแผนการเล่นที่แน่วแน่

เงินสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของสโมสรให้ดีขึ้นได้ แต่การทุ่มเงินโดยขาดการจัดการที่ดีนั้นก็ยังทำให้ผลลัพธ์ของมันเลวร้ายได้อยู่ดี ในขณะที่ซิตี้ได้ประโยชน์เรื่องนอกสนามจากเสี่ยอย่างชีค มานซูร์แล้ว ในสนาม พวกเขายังได้จอมแท็คติกชาวสเปนอย่างเป็ป กวาร์ดิโอล่าอีกด้วย

อดีตผู้จัดการทีมบาร์เซโลน่าได้สร้างสไตล์การเล่นในรูปแบบ ‘ติกี้ ตาก้า’ ที่โด่งดังมาในสมัยที่เขายังโลดแล่นอยู่ในสเปน แถมยังได้นำสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกด้วย แต่คราวนี้แผนการเล่นมันยังล้ำหน้ายิ่งกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้นขึ้นชื่อในเรื่องการจ่ายบอลระยะไกลและฟุตบอลที่ลื่นไหล ซึ่งเริ่มจากกองหลัง ซึ่งรวมถึงผู้รักษาประตูด้วย

นอกเหนือจากซิตี้แล้ว ลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวในลีกที่มีสไตล์การเล่นที่ชัดเจนและไม่แปลกใจเลยที่เหล่าหงส์แดงจะสามารถต่อกรกับลูกทีมของกวาร์ดิโอล่าได้อย่างสูสีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

การวางแผนการเล่นที่มั่นคงนั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักเตะหลายคนจึงสามารถอยู่ในหลายๆ ตำแหน่งภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอล่าได้ เพียงเพราะพวกเขาต้องทำตามแผนเท่านั้น สิ่งนี้ช่วยให้ทีมของพวกเขาทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมและช่วยให้พวกเขาครองเกมได้ถึง 80% ภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอล่า

ในการที่จะหยุด ‘ความยอดเยี่ยม’ ของซิตี้นั้น ทีมที่เหลือในพรีเมียร์ลีกจำเป็นจะต้องพัฒนาแผนการเล่นและยึดมั่นในแผนการเล่นของพวกเขา ซึ่งจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

มิติความลึกของทีมที่เหมาะสมในทุกตำแหน่ง

กี่ครั้งแล้วที่พวกเราได้เห็นทีมที่จู่ๆ ก็ฟอร์มตกเพียงเพราะมีนักเตะตัวชูโรงได้รับบาดเจ็บ 1-2 คน? แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาของแมนเชสเตอร์ ซิตี้เลย เนื่องจากนักเตะของพวกเขาทุกคนนั้นถือเป็นตัวเด่นดังกันแทบทุกคน

สำหรับซิตี้แล้ว พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับนักเตะเพียงคนเดียว ลองยกตัวอย่างของฤดูกาล 2021/22 เป็นตัวอย่าง ซิตี้มีนักเตะมากถึง 15 คนที่สามารถยิงประมาณได้มากกว่า 2 ลูกขึ้นไปให้กับทีมของกวาร์ดิโอล่าในพรีเมียร์ลีก ริยาร์ด มาห์เรซกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมด้วย 24 ประตู แต่ก็ยังมีนักเตะคนอื่นอีกอย่างน้อย 5 คนที่ยิงได้ถึง 10 ประตูเช่นกัน

ในฤดูกาล 2020/21 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ลงสนามไปมากกว่า 10 เกมโดยที่ไม่มีนักเตะที่ดีที่สุดของพวกเขาอย่างเควิน เดอ บรอยน์อยู่ใน 11 ตัวจริง แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับพวกเขาเลย การที่เดอ บรอยน์ไม่ได้ลงสนาม อิลคาย กุนโดกันได้โอกาสลงตัวจริงและโชว์ฟอร์มได้อย่างไร้ที่ติ การลงสนามของแบร์นาโด้ ซิลวาและอิลคาย กุนโดกันนั้นหมายถึงการที่ซิตี้นั้นได้มีแดนกลางสุดมหัศจรรย์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีมิดฟิลด์ทีมชาติเบลเยี่ยมลงสนามก็ตาม

ทางฝั่งปีก มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอีกครั้งที่ได้เห็นพวกเขามีคุณภาพมากพอที่จะปล่อยให้นักเตะอย่างราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ริยาด มาห์เรซและกาเบรียล เชซุสต้องนั่งสำรองอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เชซุ สต้องย้ายไปโอกาสกับทีมอื่น สืบเนื่องจากการที่อาร์เซนอลกำลังตกเป็นข่าวอยากได้ตัวปีกตัวจี๊ดชาวบราซิลเข้าซุ้มปืนในฤดูกาลนี้

หากทีมต่างๆ สามารถเสริมความแข็งแกร่งได้ดีซะจนพวกเขายกระดับคุณภาพให้สูงขึ้นได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักเตะบนม้านั่งสำรอง มันก็จะทำให้ทุกคนได้เห็นถึงระดับที่ใกล้เคียงกันในสนามแข่งขัน แต่น่าเศร้าที่จุดนี้ มันก็เป็นเรื่องของเงินอีกครั้งและแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องของกำไรและการตลาดได้อย่างรวดเร็วเพียงใด

อ่าน:  10 ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก
Leave A Reply